ขณะที่ทั่วโลกกำลังจับตามองทิศทางเศรษฐกิจในปี 2568 ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การประกาศนโยบายการค้าของประเทศมหาอำนาจย่อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ล่าสุด การตัดสินใจของสหรัฐอเมริกาในการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากนานาประเทศ ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกจับตามอง ไม่เพียงเพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่อาจส่งผลต่อทิศทางการค้าโลก แต่ยังรวมถึงขอบเขตของผลกระทบที่ขยายวงกว้างกว่า 60 ประเทศ ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรกอย่างมีนัยสำคัญ
วิเคราะห์ภาษีสหรัฐฯ ใหม่ กระทบไทย 36% อาจฉุด GDP เหลือ 1.8%?

การประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากนานาประเทศของสหรัฐอเมริกาครั้งล่าสุด ได้สร้างความสนใจและก่อให้เกิดคำถามมากมายในแวดวงเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ ประเด็นสำคัญคือ ขอบเขตของประเทศที่ได้รับผลกระทบนั้นกว้างขวางกว่าที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรกอย่างเห็นได้ชัด จากเดิมที่ประเมินกันว่าจะจำกัดอยู่ในกลุ่มประเทศเป้าหมายหลักประมาณ 15 ประเทศ กลับขยายครอบคลุมไปถึงกว่า 60 ประเทศทั่วโลก สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าที่อาจมีนัยสำคัญในวงกว้าง โดยมาตรการภาษีใหม่นี้ มีกำหนดจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน เป็นต้นไป
ความท้าทายในการถอดรหัสตรรกะเบื้องหลังอัตราภาษี
หนึ่งในประเด็นที่ยังคงเป็นที่จับตามองและอยู่ระหว่างการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก คือ ตรรกะ (Logic) หรือหลักเกณฑ์ที่สหรัฐฯ ใช้ในการกำหนดอัตราภาษีที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละประเทศ เนื่องจากยังไม่มีการชี้แจงอย่างเป็นทางการถึงที่มาของตัวเลขดังกล่าว ข้อมูลที่ปรากฏเผยให้เห็นความหลากหลายของอัตราภาษี อาทิ:
1.จีน: ได้รับการประเมินว่าจะเผชิญกับอัตราภาษีประมาณ 34% ตัวเลขนี้ดูเหมือนจะปรับลดลงจากข้อมูลเบื้องต้นที่เคยมีการกล่าวถึงที่ระดับ 67% ซึ่งอาจรวมผลกระทบจากประเด็นอื่นๆ เช่น นโยบายค่าเงิน หรือข้อพิพาททางการค้าอื่นๆ เข้าไปด้วย
2.ไต้หวัน: อัตราภาษีที่ประกาศคือ 32% ซึ่งแหล่งข่าวระบุว่า ตัวเลขนี้อาจเป็นอัตราที่ปรับลดลงครึ่งหนึ่งจากอัตราตั้งต้นที่คำนวณได้เบื้องต้นที่ 64%
3.ไทย: เผชิญกับอัตราภาษีที่ 36% ซึ่งสร้างความประหลาดใจพอสมควร เนื่องจากมีความแตกต่างจากตัวเลข 12% ที่เคยปรากฏในข้อมูลบางส่วนก่อนหน้านี้ ทำให้เกิดคำถามถึงที่มาและความเชื่อมโยงของตัวเลขทั้งสอง
ลักษณะที่อัตราภาษีสุดท้ายมักจะเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของตัวเลขที่คำนวณเบื้องต้น (ดังตัวอย่างจีนและไต้หวัน) กลายเป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจ ซึ่งนำไปสู่การพยายามวิเคราะห์เพื่อหาคำอธิบายที่เป็นไปได้
สมมติฐานเบื้องต้น ความเชื่อมโยงระหว่างดุลการค้าและการนำเข้า
ท่ามกลางความไม่ชัดเจนนี้ มีการตั้งสมมติฐานเบื้องต้น (ซึ่งผู้ให้ข้อมูลเน้นย้ำว่าเป็นการวิเคราะห์ส่วนตัว ยังไม่ได้รับการยืนยัน) เพื่อพยายามทำความเข้าใจตรรกะที่เป็นไปได้ โดยอิงจากข้อมูลสถิติการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มูลค่าการขาดดุลการค้าที่สหรัฐฯ มีต่อประเทศคู่ค้า (ซึ่งภาพรวมทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึงราว 9 แสนล้าน ถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) และมูลค่าการนำเข้าสินค้าทั้งหมดที่สหรัฐฯ นำเข้าจากประเทศนั้นๆ
สมมติฐานดังกล่าวเสนอว่า อัตราภาษีตั้งต้นอาจคำนวณจากสัดส่วนของ
แนวคิดคือ นำตัวเลข มูลค่าการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับประเทศ X มาหารด้วย มูลค่าการนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ จากประเทศ X ผลลัพธ์ที่ได้ (ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์) จะถูกนำมา หารด้วยสอง เพื่อให้ได้อัตราภาษี (Tariff Rate) ที่ประกาศใช้
จากนั้น อัตราภาษีที่จะบังคับใช้จริง (Effective Tariff Rate) อาจเป็น ครึ่งหนึ่ง (50%) ของอัตราที่คำนวณได้ข้างต้น
การประยุกต์ใช้สมมติฐานกับตัวอย่าง
จีน: สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าประมาณ 250,000-260,000 ล้านดอลลาร์ และนำเข้าจากจีนราว 400,000 กว่าล้านดอลลาร์ สัดส่วนที่คำนวณได้อยู่ที่ประมาณ 60% ปลายๆ (ใกล้เคียงกับ 67% ที่กล่าวถึงในข้อมูล) เมื่อหารสอง จะได้อัตราประมาณ 34%
ไทย: สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าเกือบ 40,000 ล้านดอลลาร์ และนำเข้าจากไทยราว 50,000 กว่าล้านดอลลาร์ สัดส่วนที่คำนวณได้คือประมาณ 72% เมื่อหารสอง จะได้ 36% ซึ่งตรงกับอัตราที่ประกาศ
ประเทศอื่นๆ: สมมติฐานนี้ยังถูกนำไปเทียบเคียงกับตัวเลขสัดส่วนคำนวณเบื้องต้นของประเทศอื่นๆ ที่กล่าวถึง เช่น เวียดนาม (ประมาณ 90%) หรือยุโรป (ประมาณ 40%) ซึ่งเมื่อหารสองแล้ว อาจให้ภาพที่ใกล้เคียงกับอัตราภาษีที่กำลังถูกพิจารณา
ขอย้ำอีกครั้งว่า แนวคิดการคำนวณนี้เป็นเพียงสมมติฐานที่เกิดจากการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่ของผู้ให้ข้อมูล และยังรอคำอธิบายอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานของสหรัฐฯ เพื่อยืนยันหลักเกณฑ์ที่แท้จริง
การประเมินผลกระทบเชิงลึกต่อเศรษฐกิจไทย
สำหรับประเทศไทย ทีมงานวิเคราะห์จากเครือกสิกร (KResearch, KBank และหน่วยงานอื่นๆ ในเครือ) ได้ทำการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจภายใต้สถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจง โดยมีรายละเอียดดังนี้:
1.สถานการณ์ฐานเดิม: ประมาณการการเติบโตของ GDP ไทยสำหรับปีปัจจุบันอยู่ที่ 2.4% ซึ่งตัวเลขนี้ ได้รวมผลกระทบที่คาดการณ์ไว้เดิม จากการปรับขึ้นภาษีในระดับ 10% เข้าไปแล้ว
2.สถานการณ์ภายใต้ภาษีใหม่: หากการเจรจาต่อรองไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีได้ และประเทศไทยต้องเผชิญกับอัตราภาษี 36% อย่างเต็มรูปแบบตลอดช่วงเวลาที่เหลือของปี ประกอบกับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเมินไว้ราว 0.06% ของ GDP (คิดเป็นมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท) คาดการณ์ว่า:
3.นัยเชิงเปรียบเทียบ: อัตราการเติบโตที่ระดับ 1.8% - 1.9% ถือเป็นระดับที่ต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นการเติบโตในระดับที่ใกล้เคียงกับที่เกิดขึ้นจริงในปี 2021 ซึ่งเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ประมาณ 1.6% (อ้างอิงข้อมูลจาก Bloomberg) โดยปี 2021 เป็นช่วงเวลาหลังผ่านพ้นผลกระทบหนักจาก COVID-19 แต่ยังคงอยู่ภายใต้สภาวะการฟื้นตัว
ผลกระทบในมิติภูมิภาคและความท้าทายข้างหน้า
ผลกระทบของการปรับขึ้นภาษีครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงประเทศไทยเท่านั้น แต่ส่งผลเป็นวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพิงภาคการส่งออกในสัดส่วนที่สูงมาก การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญ จึงสร้างความกังวลต่อแนวโน้มการค้าและการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของภูมิภาค ดังที่สะท้อนผ่านการปรับตัวของตลาดหุ้นเอเชียในช่วงที่ผ่านมา
ยิ่งไปกว่านั้น การวิเคราะห์ผลกระทบในปัจจุบันยังเป็นการพิจารณาเพียงผลกระทบโดยตรงจากการดำเนินการของสหรัฐฯ เท่านั้น ยังไม่ได้รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิด มาตรการตอบโต้ทางการค้า (Retaliation) จากประเทศอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบ เช่น จีน ยุโรป ญี่ปุ่น หรือประเทศอื่นๆ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะยิ่งเพิ่มความซับซ้อนและความไม่แน่นอนให้กับสถานการณ์การค้าโลกและแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะต่อไป
ท่ามกลางความไม่แน่นอน จับตาทิศทางการค้าโลกและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
การประกาศปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าครั้งใหม่ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งครอบคลุมกว่า 60 ประเทศทั่วโลก และมีกำหนดบังคับใช้ในวันที่ 9 เมษายนนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ส่งสัญญาณถึงความผันผวนและความท้าทายที่เพิ่มสูงขึ้นในเวทีการค้าโลก สถานการณ์นี้นำมาซึ่งประเด็นสำคัญหลายประการที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ทั้งในมิติของหลักเกณฑ์เบื้องหลังการตัดสินใจ ผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะไทย และปฏิกิริยาตอบโต้ที่อาจตามมา
ประเด็นเรื่อง ตรรกะในการกำหนดอัตราภาษีที่แตกต่างกัน ยังคงเป็นปริศนาสำคัญที่รอคำตอบอย่างเป็นทางการ แม้จะมีการตั้งสมมติฐานเบื้องต้นที่พยายามเชื่อมโยงอัตราภาษีเข้ากับสัดส่วนการขาดดุลการค้าต่อมูลค่าการนำเข้า (แล้วหารด้วยสอง) ซึ่งดูเหมือนจะสอดคล้องกับตัวเลขของบางประเทศ เช่น ไทย (36%) และจีน (ประมาณ 34%) แต่ก็ยังเป็นเพียงแนวทางการวิเคราะห์ที่ต้องรอการยืนยัน ความชัดเจนในเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการประเมินเจตนาและทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ในระยะต่อไป
สำหรับประเทศไทย ผลกระทบที่ประเมินโดยทีมวิเคราะห์เครือกสิกร ชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของประเทศคู่ค้าหลัก ภายใต้สมมติฐานที่เลวร้ายที่สุด (Worst-case scenario) คือ หากไม่สามารถเจรจาต่อรองเพื่อลดหย่อนอัตราภาษี 36% ได้ และต้องรวมผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเข้าไปด้วย ประมาณการการเติบโตของ GDP ไทยในปีนี้อาจถูกปรับลดลงจาก 2.4% เหลือเพียง 1.8% - 1.9% ซึ่งเป็นระดับการเติบโตที่ต่ำและใกล้เคียงกับช่วงปี 2021 สะท้อนถึงความท้าทายอย่างมีนัยสำคัญต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และตอกย้ำการพึ่งพิงภาคการส่งออกในระดับสูงของไทยและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย
ยิ่งไปกว่านั้น ภาพรวมผลกระทบที่วิเคราะห์ในปัจจุบัน ยังเป็นเพียงการประเมินผลกระทบขั้นแรก ที่เกิดจากการดำเนินการของสหรัฐฯ เพียงฝ่ายเดียว ยังไม่ได้คำนึงถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิด "สงครามการค้า" หรือมาตรการตอบโต้ (Retaliation) จากประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น จีน สหภาพยุโรป หรือญี่ปุ่น หากประเทศเหล่านี้ตัดสินใจดำเนินมาตรการทางภาษีหรือกีดกันทางการค้าเพื่อตอบโต้สหรัฐฯ สถานการณ์จะยิ่งทวีความซับซ้อนและส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อห่วงโซ่อุปทานและเศรษฐกิจโลกในวงกว้างยิ่งขึ้นไปอีก
ดังนั้น ในช่วงเวลานี้จึงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางในอนาคต ได้แก่:
1.ความชัดเจนของนโยบายสหรัฐฯ: การเปิดเผยหลักเกณฑ์และเหตุผลเบื้องหลังการกำหนดอัตราภาษีอย่างเป็นทางการ
2.ผลการเจรจาต่อรอง: ความคืบหน้าและความสำเร็จในการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และประเทศที่ได้รับผลกระทบ เพื่อหาทางลดหย่อนหรือยกเว้นมาตรการทางภาษี
3.ปฏิกิริยาของนานาประเทศ: การตัดสินใจดำเนินมาตรการตอบโต้ทางการค้า ซึ่งจะส่งผลต่อบรรยากาศการค้าและการลงทุนทั่วโลก
สำหรับภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนของไทย จำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ประเมินผลกระทบต่อภาคส่วนของตนอย่างละเอียด และเตรียมความพร้อมในการปรับตัวเพื่อรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น การกระจายความเสี่ยงทางการค้า การหาตลาดใหม่ๆ และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน อาจเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยบรรเทาผลกระทบและนำพาเศรษฐกิจไทยให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความท้าทายนี้ไปได้ การตัดสินใจเชิงนโยบายและการดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจในระยะต่อไป จำเป็นต้องตั้งอยู่บนฐานข้อมูลที่รอบด้านและความเข้าใจในพลวัตของเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว