บริษัท สตาร์ มันนี่ จำกัด (มหาชน) หรือ SM ผู้ให้บริการด้านสินเชื่อและผลิตภัณฑ์ทางการเงินชั้นนำในภาคตะวันออก เดินหน้าระดมทุน เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สะท้อนจุดเด่น และโอกาสการเติบโตในอนาคต นำโดยการบริหารของ " ชูศักดิ์ วิวัฒน์วงศ์เกษม กรรมการผู้จัดการ "
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย จึงได้สรุปข้อมูล เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของนักลงทุน
1. SM หุ้นสินเชื่อและผลิตภัณฑ์ทางการเงินครบวงจร รายใหญ่แห่งภาคตะวันออก
ปัจจุบัน SM ประกอบธุรกิจหลักของบริษัทฯ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ธุรกิจ คือ ธุรกิจจำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ เช่น โทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ ตู้แช่ รถจักรยานยนต์ และอุปกรณ์อื่นๆ ทั้งในรูปแบบการจำหน่ายสินค้าแบบขายเงินสดและขายผ่อนชำระ ซึ่งจัดทำเป็นสัญญาเช่าซื้อ โดยจำหน่ายสินค้าผ่าน “ร้านสตาร์มันนี่” ในจังหวัดระยองและจังหวัดจันทบุรี รวมถึงมีบางส่วนจำหน่ายผ่าน Platform E-Marketplace
ธุรกิจปล่อยสินเชื่อประเภทต่างๆ ได้แก่ สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่มิใช่สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน และสินเชื่อที่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อทะเบียนรถ สินเชื่อที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยมีหลักประกันเงินให้กู้ยืม ได้แก่ เล่มทะเบียนรถจักรยานยนต์ เล่มทะเบียนรถยนต์นั่งไม่เกิน 7 ที่นั่ง เล่มทะเบียนรถยนต์เพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์ ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงให้บริการเป็นนายหน้าประกันวินาศภัย
2. แผนการระดมทุน ขายไอพีโอ 300 ล้านหุ้น
SM เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 300 ล้านหุ้น คิดเป็น 27.27% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ในครั้งนี้ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดธุรกิจธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ (ธุรกิจการเงิน) ในวันที่ 20 ธันวาคม 2565 เป็นวันแรก
ที่ปรึกษาทางการเงิน : บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นไอพีโอ : บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
ผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 4 แห่ง :
- บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน)
- บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด
- บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด
- บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จํากัด
3. เคาะราคาไอพีโอ 2.04 บาท/หุ้น คิดเป็น P/E ที่ 17.25 เท่า
ราคาหุ้นสามัญที่เสนอขายหุ้นละ 2.04 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) เท่ากับ 17.25เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลการดำเนินงานในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2565) ทั้งนี้ พิจารณานำ P/E เฉลี่ยของบริษัทเทียบเคียงในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง มาเป็นข้อมูลประกอบการเปรียบเทียบ ซึ่งมีค่าเฉลี่ยของ P/E เท่ากับ 29.71 เท่า
4. เงินระดมทุนขยายสาขา-ต่อยอดสินเชื่อโต
เงินที่ได้จากการระดมทุนจำนวนประมาณ 583 ล้านบาท (หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง) นำไปใช้ขยายธุรกิจการให้บริการสินเชื่อทุกประเภท ขยายสาขา รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย และ/หรือประกันชีวิต เป็นต้น นอกจากนี้ ใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมบางส่วนจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทฯ ในอนาคต อีกทั้งเป็นการยกระดับมาตรฐานของบริษัทฯ เข้าสู่มาตรฐานสากล เพิ่มความน่าเชื่อถือในด้านภาพลักษณ์ ให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้าและคู่ค้า รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน
ปัจจุบัน SM มีสาขาที่ให้บริการแบ่งออกเป็น 3 ประเภท สาขาหลัก จำนวน 16 สาขา โดยจะให้บริการครอบคลุมทุกบริการ ทั้งขายสินค้า สินเชื่อเช่าซื้อ และเงินให้กู้ยืม สาขาย่อย 69 สาขา Express 6 สาขา โดยปัจจุบันสาขาครอบคลุม 7 จังหวัดภาคตะวันออก ได้แก่ ระยอง จันทบุรี ชลบุรี ตราด ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี และสระแก้ว รวมถึงได้เริ่มขยายสาขาไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดอุดรธานีและจังหวัดนครราชสีมา
5. จุดเด่นการลงทุน
SM ชูกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในอีก 4 ปีข้างหน้า ระหว่างปี 2565 – 2568 ด้วยการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์สินเชื่อทางการเงินใหม่ๆ ที่หลากหลาย พร้อมทั้งขยายสาขาให้ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการตามจังหวัดที่สำคัญของประเทศ อีกทั้ง จากประสบการณ์การทำงานยาวนานมากกว่า 30 ปี และมีความสัมพันธ์ที่ดีในภาคตะวันออกเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ทำให้ SM สามารถขยายกลุ่มลูกค้าภาคตะวันออก ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญที่มีศักยภาพสูง เนื่องจากการเติบโตและการขยายของ EEC ซึ่งเป็นพื้นที่ที่จะมีการลงทุนจากภาครัฐและภาคเอกชนอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม อสังหาริมทรัพย์ ภาคการท่องเที่ยวและโรงแรม จะเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดการจ้างงาน การสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ ทำให้พื้นที่ดังกล่าวมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ทั้งภาคครัวเรือน ภาคอุตสาหกรรม และภาคการท่องเที่ยว เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ SM สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้อย่างเข้มแข็ง และยั่งยืน
โดยจุดเด่นคือ
-บริษัทฯมีประสบการณ์ในการประกอบธุรกิจจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าและให้บริการสินเชื่อชั้นนำมากกว่า 30 ปี เป็นที่รู้จักกว้างขวางในภาคตะวันออก
-ผู้บริหารมีประสบการณ์ในธุรกิจมาอย่างยาวนาน มีสาขาให้บริการกระจายตามแหล่งชุมชน มุ่งเน้นการให้บริการตามหลักจรรยาบรรณธุรกิจ ทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง
-บริษัทฯให้ความสำคัญและสามารถปฏิบัติตามกฏระเบียบ ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานภาครัฐได้อย่างครบถ้วน
-ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่อง รวมถึงคู่ค้าซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์ แบรนด์ชั้นนำ
- พอร์ตลูกหนี้สินเชื่อของบริษัทฯเติบโตด้วยการบริหารจัดการและติดตามหนี้อย่างมีคุณภาพ ใกล้ชิดกับลูกค้า มีอัตราส่วน NPL ที่ใกล้เคียงกับระดับอุตสาหกรรม ทั้งนี้ธุรกิจเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้ามีอัตราการเติบโตที่สูงในช่วงที่ผ่านมา
-ผลการดำเนินงานของบริษัทฯมาจากทั้งธุรกิจจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าและธุรกิจการปล่อยสินเชื่อ โดยมีรายได้ดอกเบี้ยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะอยู่ในช่วงภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวน
-บริษัทฯมีอัตรากำไรขั้นต้นจากการปล่อยสินเชื่อและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่สม่ำเสมอ และบริษัทฯได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด
6. ผลการดำเนินมีเสถียรภาพ
สำหรับผลประกอบการในช่วงปี 2562-2564 ที่ผ่านมา SM มีรายได้รวม 1,087.47 ล้านบาท 1,030.89 ล้านบาท และ 1,239.84 ล้านบาทตามลำดับ โดยรายได้จากการดำเนินงานของบริษัทฯ ได้แก่ รายได้จากการขายสินค้า รายได้ดอกเบี้ยจากสัญญาเช่าซื้อ และรายได้ดอกเบี้ยจากการให้กู้ยืม รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ และรายได้อื่น (รายได้ค่าธรรมเนียมนายหน้าประกันภัย รายได้ส่งเสริมการขาย เป็นต้น) สำหรับกำไรสุทธิอยู่ที่ 78.19 ล้านบาท 47.62 ล้านบาท และ 102.94 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 7.19%, 4.62% และ 8.30% ตามลำดับ
ล่าสุดผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทฯมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,066.84 ล้านบาท เติบโต 12.09% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 80.79 ล้านบาท พร้อมด้วยการควบคุมลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ต่อสินเชื่อรวมอยู่ในระดับใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมที่ 4.48% โดยมีสัดส่วนรายได้จากการขายสินค้าสัดส่วน 61.87% รายได้ดอกเบี้ยจากสัญญาเช่าซื้อ 5.86% รายได้ดอกเบี้ยจากการให้กู้ยืม 28.28% รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ และรายได้อื่นอยู่ที่ 3.99%
ในปี 2565 คาดว่าผลประกอบการจะใกล้เคียงของปี 2564 เนื่องจากยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ต่อเนื่องจากปีก่อน แต่ในปี 2566 คาดว่าจะสามารถเติบโตได้มากกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมเริ่มฟื้นตัว มีปัจจัยหนุนจาก EEC และเงินระดมทุนจะสนับสนุนแผนการเติบโต
7. ผู้ถือหุ้นใหญ่ / สัดส่วนการถือหุ้นก่อนและหลัง IPO
กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ บริษัท ธนาธิวัตถ์ จำกัด สัดส่วนถือหุ้นก่อน IPO 43% และหลัง IPO 31.27%
กลุ่มครอบครัวลาวัณย์เสถียร สัดส่วนถือหุ้นก่อน IPO รวม 40.72% และหลัง IPO 29.61%
กลุ่มครอบครัวลีนุวงศ์พันธ์ สัดส่วนถือหุ้นก่อน IPO รวม 3.43% และหลัง IPO 2.50 %
กลุ่มครอบครัววิวัฒน์วงศ์เกษม สัดส่วนถือหุ้นก่อน IPO รวม 3.27% และหลัง IPO 2.38%
กลุ่มครอบครัวสุนทรเวชพงษ์ สัดส่วนถือหุ้นก่อน IPO รวม 1.58% และหลัง IPO 1.15%
บริษัท บัวหลวงเวนเจอร์ส จำกัด สัดส่วนถือหุ้นก่อน IPO 8.00% และหลัง IPO 5.82%
(รายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัท ธนาธิวัตถ์ จำกัด ประกอบด้วยกลุ่มครอบครัว นายวิทิต ลาวัณย์เสถียร พร้อมด้วยครอบครัว และผู้ร่วมก่อตั้ง)
8. นโยบายปันผลไม่ต่ำกว่า 40%
ด้วยนโยบายการจ่ายปันผลที่ดีในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% และมั่นใจว่า SM จะเป็นอีกหนึ่งหลักทรัพย์ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนในระยะยาว โดยธุรกิจของ SM อยู่ในโซนพื้นที่ภาคตะวันออก ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจ ที่ได้นโยบายสนับสนุนการลงทุนจากภาครัฐ ในโครงการ EEC ทำให้มีการลงทุนและการเติบโตในจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นภาคครัวเรือน ภาคอุตสาหกรรม และภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นโอกาสทองของ SM ในขยายการเติบโตในพื้นที่ดังกล่าวได้เพิ่มขึ้น
**********************************************