efinancethai

IPO Corner

PMC หุ้นน้องใหม่ ยักษ์ใหญ่วงการผลิตสติ๊กเกอร์ของอาเซียน

PMC หุ้นน้องใหม่ ยักษ์ใหญ่วงการผลิตสติ๊กเกอร์ของอาเซียน

 

บมจ. พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ หรือ PMC แม้จะเป็นหุ้นน้องใหม่หุ้น IPO ที่กำลังเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai แต่จริงๆ แล้ว PMC มีธุรกิจมายาวนานถึง 20 ปี เป็นหนึ่งในผู้นำตลาดในด้านการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สติ๊กเกอร์เปล่า ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำสำหรับการผลิตฉลากสินค้าและฉลากบรรจุภัณฑ์ และเป็นบริษัทย่อยของ บมจ. ซีลิค คอร์พ หรือ SELIC ที่เป็นผู้นำในการผลิตกาวอุตสาหกรรม  


วันนี้ PMC นำทัพโดย "เอก สุวัฒนพิมพ์ " ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เข้ามาเป็นหัวเรือใหญ่ในการ IPO และขยายธุรกิจในอนาคต ขึ้นเป็นผู้นำ Top3 ผู้นำการผลิตสติ๊กเกอร์เปล่าในไทยที่มีผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง

 

 


สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย จึงได้สรุปข้อมูล เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของนักลงทุน

1. PMC ผู้ผลิตผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่าในภูมิภาคอาเซียน

PMC เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สติ๊กเกอร์ (Sticker) หรือฉลากกาว (Self-Adhesive Label) รายใหญ่ของประเทศ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ สติ๊กเกอร์กระดาษ สติ๊กเกอร์ฟิล์ม และสติ๊กเกอร์ชนิดพิเศษ โดยจัดจำหน่ายสติ๊กเกอร์ให้แก่ลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผ่านการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย 2 แห่ง ได้แก่ PMC Label Materials PTE., Ltd. หรือ “PMCS” ในประเทศสิงคโปร์ และ PMC Label Materials (Malaysia) SDN. BHD. หรือ “PMCM” ในประเทศมาเลเซีย 

บริษัทฯ จำหน่ายสติ๊กเกอร์ให้แก่ลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศรวมกว่า 15 ประเทศทั่วโลก ทั้งในภูมิภาคอาเซียน เอเชียใต้ โอเชียเนีย และตะวันออกกลาง โดยมีฐานลูกค้าหลักในประเทศไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งสัดส่วนประมาณ 93.6% ลูกค้าของบริษัทอยู่ในอาเซียน จึงเป็นเป้าหมายที่จะขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมในประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม  ”

2. ผลิตภัณฑ์อยู่รอบตัว ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม  

ผลิตภัณฑ์ของ PMC เป็นต้นน้ำของอุตสาหกรรม อยู่ใกล้ตัวและเห็นทั่วไปในผลิตภัณฑ์หลากหลายอุตสาหกรรม แบ่งเป็นกลุ่ม Paper สัดส่วนประมาณ 63% Filmic 24% และ Specialty 13% 

ฐานลูกค้าหลักอยู่ในกลุ่มธุรกิจโรงพิมพ์ฉลากสินค้า (Printers) และผู้ผลิตฉลากสินค้า (Converters) โดยลูกค้าเหล่านี้จะนำสติ๊กเกอร์เปล่าไปดำเนินการออกแบบ จัดพิมพ์ลวดลายและตัดให้ได้รูปทรง เพื่อผลิตเป็นฉลากสินค้า ฉลากบรรจุภัณฑ์ หรือใช้งานในรูปแบบอื่นๆ เช่น ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมขนส่ง อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมยาและอาหารเสริม ไปจนถึงงานออกแบบเพื่อส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิด 

โดยภาพรวมยอดขาย 2567 ลูกค้าในกลุ่มค้าปลีก และ Personal Care สัดส่วนประมาณ 62.5% กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม 10.2% โลจิสติกส์ ประมาณ 9.9% 

 

 

3. แผนการระดมทุน ขายไอพีโอ 115.72 ล้านหุ้น 

PMC เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 115.72 ล้านหุ้น คิดเป็น 30% ของจำนวนหุ้นหลัง IPO เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 11 กันยายน 2567 ในหมวดธุรกิจสินค้าอุตสาหกรรม (INDUS)

  • ที่ปรึกษาทางการเงิน : บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
  • ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นไอพีโอ : บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
  • ผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 5  แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด  บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

เคาะราคาไอพีโอ 1.82 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Trailing 12-month P/E Ratio) เท่ากับ 12.18 เท่า (Pre-dilution) และ 17.40 เท่า (Fully-Diluted) 

สัดส่วนการเสนอขายหุ้น

  • สัดส่วน 9%  ล้านหุ้น  ที่มีสิทธิจองซื้อหุ้นตามสัดส่วนการถือหุ้น (Pre-emptive Rights) 34.715 คิดเป็น 9%
  • เสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) 81 ล้านหุ้น คิดเป็น 21% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขาย IPO

4. เงินระดมทุน สยายปีกสู่ผู้นำในภูมิภาคอาเซียน

เงินที่ได้จากการระดมทุนจำนวนประมาณ 210 ล้านบาท (หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง) 
- เพื่อใช้ลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับสายการผลิตใหม่ 
- และชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน 
- รวมถึงลงทุนขยายธุรกิจของบริษัทฯ ซึ่งรวมถึงการขยายศูนย์กระจายสินค้าในประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน

 

  

5. ปลดล็อคศักยภาพการผลิตที่เร่งตัว ขยายฐานลูกค้าทั้งใน-ตปท.

PMC มีโรงงานผลิตสินค้า ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์และการพิมพ์ จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งอยู่ระหว่างการลงทุนขยายกำลังการผลิต สอดรับกลยุทธ์หลักในการเติบโต โดยมุ่งเน้นการลงทุนขยายกำลังการผลิตโดยการติดตั้งสายการผลิตใหม่ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสติ๊กเกอร์อีก 110 ล้านตารางเมตรต่อปี จากปัจจุบันกำลังการผลิตสติ๊กเกอร์อยู่ที่ 75 ล้านตารางเมตรต่อปี เป็นกำลังการผลิตใหม่ที่ 185 ล้านตารางเมตรต่อปี ปัจจุบันอยู่ระหว่างการนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 4/2567 

ภายหลังจากที่สายการผลิตใหม่ติดตั้งแล้วเสร็จ บริษัทฯ จะมีซึ่งถือเป็นกำลังการผลิตที่ใหญ่ที่สุดเป็นลำดับที่ 3 ของผู้ประกอบการในประเทศไทย รองรับการขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ พร้อมที่จะก้าวสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายฉลากกาวในภูมิภาคอาเซียนต่อไป

6. จุดเด่นการลงทุน

  • PMC เป็นบริษัทชั้นนำด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของทีมผู้บริหารที่มาจาก SELIC ซึ่งเป็นบริษัทแม่ และมีความรู้ความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจมากว่า 20 ปี และเป็นผู้ผลิตสติ๊กเกอร์รายใหญ่ลำดับที่ 5 ของประเทศไทย และแผนขยายกำลังการผลิต จะสนับสนุนให้ PMC ขึ้นมาเป็นผู้นำตลาด Top 3 ของผู้ประกอบการในประเทศไทย
  • มีผลประกอบการที่แข็งแกร่งตลอดระยะเวลา 17-18 ปีที่ผ่านมา บริษัทยังไม่เคยขาดทุน มียอดขายเติบโตเฉลี่ยสูงกว่าคู่แข่ง 
  • กลุ่มลูกค้ามีความหลากหลายอุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์หลักๆ อยู่ที่กลุ่ม Retail ได้แก่ Food&Beverage กลุ่มโลจิสติกส์ และสามารถเข้าถึงทุกกลุ่มผู้บริโภคปลายทาง
  • มีโอกาสเติบโตชัดเจนทั้งยอดขายและกำไร โดยการติดตั้งเครื่องจักรใหม่จะเพิ่มกำลังการผลิตช่วยให้เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆได้
     

7. ผลการดำเนินงานแนวโน้มต้นทุนลดลง อัตรากำไรฟื้นตัว

ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2567 รายได้จากการขายอยู่ที่ 432.1 ล้านบาท กำไรสุทธิ 24 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนรายได้จากการขายอยู่ที่ 420.6 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 1 ล้านบาท โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามราคาวัตถุดิบและอัตราค่าระวางเรือที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องและทรงตัวอยู่ในระดับต่ำตลอดช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 ประกอบกับความสามารถของบริษัทฯ ในการเพิ่มสัดส่วนการขายผลิตภัณฑ์กลุ่ม Premium ซึ่งได้แก่ สติ๊กเกอร์ฟิล์มและสติ๊กเกอร์ชนิดพิเศษ ได้ตามเป้าหมาย ทั้งนี้ ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2566 ที่ผ่านมา มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 824.7 ล้านบาท กำไรสุทธิ 17.4 ล้านบาท  

สำหรับภาพรวมปี 2567 แนวโน้มต้นทุนที่ลดลง ปัจจัยกดดันในเรื่องของต้นทุนสินค้าและบริการมีทิศทางที่ดีขึ้น ประมาณการณ์ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารมีแนวโน้มลดลง จากการขยายกำลังการผลิตที่ส่งผลให้มีรายได้เติบโตเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ อัตรากำไรฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง เป็นบวกต่อธุรกิจ PMC วางเป้าหมายที่จะรักษาความเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์ในประเทศไทย และมุ่งสู่การเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ของภูมิภาคอาเซียน โดยในช่วง 3 ปีข้างหน้า บริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มยอดขายสู่ระดับ 1,000 ล้านบาท โดยจะรักษาอัตราการเติบโตของยอดขายไม่ต่ำกว่า 7–10% ต่อปี

 


 

8. ผู้ถือหุ้นใหญ่ / สัดส่วนการถือหุ้นก่อนและหลัง IPO

สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2567 คือ บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นใหญ่อยู่ที่ 269,999,600 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนเกือบร้อยละ 100 และภายหลัง IPO สัดส่วนการถือหุ้นจะอยู่ที่ร้อยละ 70 โดยผู้ถือหุ้นของ SELIC ที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นของบริษัทฯ จำนวน 34,715,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 9% ในราคาเดียวกันกับราคาที่เสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO)  ซึ่งมีจำนวน 81,000,000 หุ้น สัดส่วน 21%  ราคาเดียวกันกับราคาที่เสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO)

สัดส่วนหุ้นของ “ผู้มีส่วนร่วมในการบริหาร” ที่ไม่ติด Silent Period

มีจำนวน 57.85 ล้านหุ้น คิดเป็น 15% ของจํานวนหุ้นหลัง IPO ด้านบมจ. ซีลิค คอร์พ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ และเป็นผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ได้ตกลงที่จะไม่ขายหุ้นส่วนที่ไม่ติด Silent Period ซึ่งมีจำนวนรวม 57,856,750 หุ้น เป็นเวลา 6 เดือนนับแต่วันแรกที่หุ้นสามัญของบริษัทฯ เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ (Voluntary Share Lockup) โดย SELIC จะนำหุ้นดังกล่าวฝากในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับ บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) 

9. ย้ำพื้นฐานธุรกิจแกร่ง นโยบายปันผลไม่ต่ำกว่า 40% 

ด้านซีอีโอ "เอก สุวัฒนพิมพ์ " ได้กล่าวถึงปัจจัยพื้นฐานธุรกิจในงานโรดโชว์ก่อนหน้านี้ว่า “PMC สามารถปรับกลยุทธ์ภายใต้วิกฤติต่างๆ จนวันนี้เรามองว่า PMC มีความพร้อมในการขยายการเติบโต ด้วยจุดแข็ง จากการยอมรับของลูกค้า ทำให้ในช่วงที่ผ่านมามีการใช้อัตรากำลังการผลิตอยู่ในระดับสูง ดังนั้น แผนการขยายตลาดและการเพิ่มยอดขายต้องมั่นใจว่ามีกำลังการผลิตรองรับ และคีย์สำคัญ คือเทคโนโลยี PMC จึงลงทุนขยายกำลังการผลิตสติ๊กเกอร์ ด้วยเครื่องจักรที่มีความทันสมัย ซึ่งการเพิ่มกำลังการผลิตครั้งนี้ ไม่ใช่แค่จำนวนที่เพิ่มขึ้น แต่คือความหลากหลายที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าและอุตสาหกรรมสติ๊กเกอร์ในอนาคต ด้วยคุณภาพสินค้าที่สูงขึ้น และต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำลง ด้วยไลน์การผลิตใหม่มีสปีดเร็วขึ้นกว่าเดิม 

นอกจากนี้ การโฟกัสกลยุทธ์ ในการเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตสติ๊กเกอร์และฉลากกาวในภูมิภาคอาเซียน มีฐานลูกค้าหลักอยู่ในประเทศไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย พร้อมทั้งปักธงขยายไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ โดยอยู่ระหว่างขยายไปเวียดนาม และอินโดนีเซียเพิ่มเติม เพราะหากอยู่ใน 5 ประเทศนี้ ก็เทียบเท่ากับเราเข้าไปในตลาดที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในอาเซียนแล้ว ควบคู่การโฟกัสผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าพิเศษและไฮมาร์จิ้นมากขึ้น ด้วยการเพิ่ม Value Added ให้ลูกค้า ช่วยเสริมศักยภาพการแข่งขันทั้งจากในและต่างประเทศ และสามารถไปแข่งขันในตลาดโลกได้ 

พร้อมสร้างผลประกอบการที่ดีให้นักลงทุน และมีนโยบายการจ่ายปันผลที่ดีในอัตราไม่ต่ำกว่า 40%    


 

แบบสอบถามความพึงพอใจ






ข่าวหุ้นอื่นๆที่น่าสนใจ



RECOMMENDED NEWS

ข่าวหุ้นยอดนิยม

Refresh