ปี 67 ถือเป็นอีกปีที่มีความท้าทายเป็นอย่าง แต่ทั้งนี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ก็ยังมองว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมในปี 67 ของไทยยังเติบโตได้ดี ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก โดยจากการสำรวจใน 46 กลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นมีทั้งหมด 22 อุตสาหกรรม แต่มี 9 กลุ่มอุตสาหกรรมที่สามารถเติบโตได้ถึง 6-10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ 11 กลุ่มอุตสาหกรรมคาดว่าจะทรงตัว และอีก 23 กลุ่มอุตสาหกรรมคาดว่าจะหดตัว
โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น ที่คาดว่าจะเติบโตตามทิศทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะตลาดเอเชียที่ยังมีโอกาสเติบโตจากอัตราการถือครองเครื่องปรับอากาศที่ยังอยู่ในระดับต่ำ
![](https://www.efinancethai.com/efinReview/images/er_202401231100_img3.jpg?43)
ด้านกลุ่มเครื่องสำอาง จะเติบโตตามความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้นและการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว และสินค้าเครื่องสำอางไทยเป็นที่ต้องการในระดับนานาชาติ รวมถึงยังได้รับอานิสงส์จากนโยบาย Soft Power ที่สนับสนุนอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องต่างๆ
ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ ได้รับปัจจัยหนุนหลายด้าน ทั้งจากแนวโน้มการเติบโตของโรงพยาบาลที่เติบโตตามการเข้ามารับการรักษาของคนไข้ต่างชาติที่ทำงานในไทย (EXPAT) และคนไข้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ประกอบกับการเติบโตของตลาดท่องเที่ยวเชิงพาณิชย์ ซึ่งไทยมีจุดแข็งค่ารักษาพยาบาลและคุณภาพการรักษาเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน จะเติบโตตามความต้องการใช้ไฟฟ้าในไทยที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ ประกอบกับได้รับอานิสงส์จากเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ที่ช่วยหนุนการเติบโตให้กับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ และแผน PDP ฉบับใหม่ที่จะประกาศใช้ ภายในกลางปี 67 จะมีสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้น
ขณะที่อุตสาหกรรมยาง ความต้องการใช้ทั้งตลาดในและต่างประเทศในอุตสาหกรรมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะยานยนต์และชิ้นส่วน ยานยนต์ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยางทางการแพทย์
ด้านอุตสาหกรรมรองเท้า จากอานิสงส์ตลาดการค้าชายแผนผ่านประเทศเพื่อนบ้าน และการขยายตัวของการท่องเที่ยว รวมถึงนโยบายสนับสนุน Soft Power เพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าไทย ซึ่งอุตสาหกรรมการผลิตรองเท้ายังคงให้ความสำคัญกับแฟชั่น ความสบาย และประสิทธิภาพ
ขณะที่อุตสาหกรรมโรงเลื่อยและโรงอบไม้ ได้รับอานิสงส์จากคำสั่งซื้อสินค้าไม้และผลิตภัณฑ์ไม้จากประเทศคู่ค้าต่างๆ สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นผลจากความต้องการของประเทศคู่ค้า และนโยบายสนับสนุน Soft power ที่จะนำเทรนด์ที่นิยมหลอดรวมเข้ากับสินค้าอัญมณี และเครื่องประดับก่อให้เกิดเป็นสินค้าในไลน์ใหม่ๆ
สุดท้ายคือ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม จากการค้าชายแดนผ่าน CLMM ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมา และมาเลเซีย ที่ขยายตัวดีขึ้นจากการพัฒนาด่านชายแดน ส่งผลให้สามารถส่งออกสินค้าอาหารและเครื่องดื่มได้มากขึ้น รวมถึงเทรนด์อาหารแห่งอนาคต ซึ่งเป็นโอกาสของผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัวทั้งอาหารกลุ่มโปรตีนจากพืชและแมลง กลุ่มเนื้อสัตว์ที่มาจากกระบวนการเลียนแบบ และ Organic Food ที่ปลอดภัยจากสารเคมี เป็นต้น
ทั้งนี้ จากการรวบรวมข้อมูล ของแต่ละอุตสาหกรรมแล้ว “สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย” จึงได้นำข้อมูลมาค้นหาหุ้นที่เกี่ยวข้องอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเติบโตได้ดีในปีนี้ มีอะไรบ้าง