บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS เป็นที่รู้จักกันดีในอุตสาหกรรมการบิน จากผู้ให้บริการเติมน้ำมันเครื่องบินทุกลำ ที่ลงจอดที่สนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ ก็ ซึ่งเปรียบเสมือน “เด็กปั๊ม” ของทุกสนามบิน นั่นเอง
แต่รู้หรือไม่ว่า BAFS ยังมีอีกหลายธุรกิจ ที่พร้อมสร้างการเติบโตของกลุ่มบริษัทในระยะยาว ซึ่ง " หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ ดิศกุล" กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ BAFS ผู้บริหารคนรุ่นใหม่ ที่มีบทาทสำคัญในการผลักดันกลยุทธ์ จะมาบอกเล่าถึงความเป็นมาของ BAFS และอนาคตที่กำลังจะก้าวต่อไป
*** กว่า 40 ปี ของผู้ให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานครบวงจร
BAFS เริ่มต้นทำธุรกิจเกี่ยวกับระบบการบริการเชื้อเพลิงอากาศยานอย่างครบวงจร ทั้งขนส่งเชื้อเพลิงอากาศยาน การจัดเก็บ เติมน้ำมัน หรือเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ มากว่า 40 ปี ซึ่งเชื้อเพลิงอากาศยานต้องได้ตามสเปค เพื่อให้ผู้ใช้บริการมั่นใจว่า เชื้อเพลงทุกหยดที่ออกจาก BAFS มีคุณภาพ ขณะเดียวกัน เปิดโอกาสให้ผู้ค้าน้ำมันเข้าถึงบริการเพื่อแข่งขันเสนอราคาเชื้อเพลิงให้สายการบินได้ สายการบินก็มีโอกาสในการเลือกซื้อ เป็นหัวใจที่ทำให้ธุรกิจการบินไทยเติบโต ทำให้สายการบินของไทยสามารถแข่งขันกับต่างชาติได้ ทั้งคุณภาพความปลอดภัย และเปิดโอกาสให้การแข่งขันเชิงเสรี
ผ่านมา 40 ปี การให้บริการขนส่งน้ำมันอากาศยานผ่านท่อแรงดันสูง ทำให้การบริการภายในสนามบินในไทยที่เราดูแล เกิดการแข่งขันเกือบสมบูรณ์ มีผู้ค้าน้ำมันสูงถึง 10 ราย มากกว่าฮ่องกงที่มี 6 ราย สิงคโปร์ 6 -7 ราย ทำให้สายการบินที่มาลงในประเทศไทย มีความสบายใจเพราะมีอำนาจต่อรองสูง ปัจจุบัน BAF ให้บริการระบบเติมน้ำนอากาศยาน ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และ 3 ท่าอากาศยานภูมิภาค คือ ท่าอากาศยานสมุย สุโขทัย และตราด

*** ขยายลงทุนธุรกิจพลังงานหมุนเวียน
หลังเกิดการระบาดโควิด-19 ทำให้ BAFS ตระหนักว่าจะอยู่ในธุรกิจเดิมไม่ได้ จะยืนอยู่กับที่โดยไม่มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ จึงเริ่มทำธุรกิจอื่นสอดรับไปกับแผนกลยุทธ์เพื่อการเติบโตขององค์กร หัวใจของแผนคือกระจายความเสี่ยงของโครงสร้างรายได้ทางธุรกิจ ทำให้มีฐานรายได้จากธุรกิจอื่นด้วย เช่น สาธารณูปโภค การขนส่งน้ำมันทางท่อ ปลายทางมีโกดังจัดเก็บให้ เปิดโอกาสให้เข้าถึงบริการ ข้อดีคือผู้ค้าน้ำมันจะลดต้นทุน เพราะเรามีคลังกลางให้ใช้ พอปิดคลังลดต้นทุนในการบริหารจัดการได้ ผลประโยชน์เกิดกับประชาชน จะเข้าถึงราคาเชื้อเพลิงที่เป็นธรรม ใกล้เคียงราคาในพื้นที่ กทม.-ปริมณฑล
ท่ามกลางวิกฤต ทำให้องค์กรเห็นโอกาสในการปรับเปลี่ยนการทำงานให้คล่องตัวมากขึ้น ซึ่งอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนให้สอดรับและเหมาะสมกับคนรุ่นใหม่ และสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบริหารจัดการ การสร้างวิธีการทำงาน และการสื่อสารที่เชื่อมโยงตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงกับพนักงานระดับล่าง
ดังนั้นในปี 63-66 BAFS มีการผลักดันองค์กรให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเข้าไปถือหุ้นใน 4 บริษัทหลัก และมีการขยายกิจการไปใน 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย ญี่ปุ่น สิงคโปร และมองโกเลีย
โดยปี 64 เป็นก้าวแรกของกลุ่มบริษัทในการขยายการลงทุนไปยังธุรกิจพลังงานหมุนเวียน โดยบริษัท บาฟส์ คลีน เอนเนอร์ยี่ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (BC) ได้ลงทุนเข้าซื้อ 7 โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในประเทศไทย และ 2 โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในประเทศญี่ปุ่น กําลังการผลิตไฟฟ้ารวม 49.4 เมกะวัตต์ ซึ่งนับเป็นก้าวแรกสู่การขยายการลงทุนในต่างประเทศของกลุ่มบริษัท โดยเลือกเฉพาะพลังงานสะอาด ที่เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม
โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้ง 9 แห่ง เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) แล้วทั้งหมด รับรู้รายได้ทันที และพัฒนาโครงการต่อเนื่อง ทั้งบริการติดตั้ง Solar Rooftop และยังเข้าร่วมประมูลโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะชุมชน 9.9 เมกะวัตต์ โดยจับมือกับพันธมิตร เริ่มก่อสร้างเดือนก.ย.นี้ คาดเปิด COD ได้ปี 69 ปัจจุบันได้ลงนามซื้อขายไฟฟ้าเรียบร้อยแล้ว เป็นโรงไฟฟ้าโครงการขยะแรก คาดใช้ปริมาณขยะ 500 ตันต่อวัน โดยรับขยะจากเกาะสมุย และเกาะพะงัน
พอมีธุรกิจพลังงานหมุนเวียน สิ่งหนึ่งที่จะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง คือ ระบบบริหารจัดการ พวกดิจิทัลโซลูชั่น เมื่อเรามีการทำงานร่วมกัน (synergy) ภายในกลุ่ม จึงนำเทคโนโลยีบล็อกเชน เข้ามาใช้ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งศุลการไทย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ,สายการบินต่าง บริษัทน้ำมัน ใช้บล็อกเชนที่เราพัฒนาขึ้นมาเชื่อมข้อมูล
ส่วนระบบปฏิบัติการก็นำปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาใช้ ให้ AI ช่วยมอนิเตอร์สินทรัพย์ที่มี ทั้งถังน้ำมัน ท่อ โรงไฟฟ้า ถ้าเจอผิดปกติ เราจะส่งคนไปในพื้นที่ได้ทันที เชื่อมโยงกับ Asset ที่มีทั้งหมด เป็นภาพของการรวมศูนย์ การจัดการ โดยเฉพาะงานด้านระบบความปลอดภัย ให้ Asset ที่มีอยู่ใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น

*** จับมือพันธมิตรลุยผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF)
น้ำมันอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel : SAF) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอุตสาหกรรมการบิน โดยเฉพาะเมื่ออุตสาหกรรมการบินวางแผนจะก้าวเข้าสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี ค.ศ. 2050 บบเดิม โดยเฉพาะเมื่ออุตสาหกรรมการบินวางแผนจะก้าวเข้าสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งขณะนี้หลายสายการบินเริ่มนำร่องการใช้น้ำมัน SAF โดยเฉพาะสายการบินที่มีเส้นทางสู่ยุโรป เนื่องจากภายใต้ข้อตกลงสหภาพยุโรปเพื่อการบินที่ยั่งยืน ให้เที่ยวบินพาณิชย์ทั้งภายในประเทศและที่บินจากสหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และประเทศสมาชิกสมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) พยายามลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนยภายในปี 93 และในระยะแรก ภายในปี 73 (ค.ศ.2030)
สำหรับประเทศไทย จำเป็นต้องเตรียมพร้อมนให้ทันแนวนโนบายของกระทรวงพลังงาน ที่กำลังพิจารณาในการกำหนดผู้ค้าน้ำมันจะต้องมีสัดส่วนน้ำมัน SAF 1-2% คาดกำหนดเป็นมาตรการบังคับปี 2570 ดังนั้นการลงทุนของเราต้องเตรียมรองรับกฎระเบียบ จึงจำเป็นต้องลงทุนภายในปีหน้า
BAFS เล็งเห็นโอกาส จึงได้ร่วมมือกับหลายภาคส่วน อาทิ กลุ่มบางจาก กลุ่มมิตรผล บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (EA) ร่วมกันพัฒนาโครงการผลิตน้ำมัน SAF ซึ่งเป็นโครงการสร้างหน่วยผลิตน้ำมันอากาศยานอย่างยั่งยืนจากน้ำมันที่ใช้แล้ว โดยมีจุดยืนในการส่งเสริมให้ตลาดการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืนเป็นไปอย่างเสรี
การเลือกพันธมิตรร่วมลงทุนจากความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน การจับมือกับ EA เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือที่ทำกับบริษัทอื่น ๆ ที่มองว่ามีศักยภาพในการผลิตเชื้อเพลิงหรือจะเป็นวัตถุดิบที่มาผลิต SAF เพราะ EA มีความเชี่ยวชาญการผลิตไบโอดีเซล กลุ่มมิตรผล เชี่ยวชาญผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาล กลุ่มบางจาก กำลังลงทุนทำโรงกลั่นน้ำมัน SAF เอาน้ำมันพืชใช้แล้วมาผลิต และมีการเซ็น MOU ภาคการศึกษาไทย ทั้ง มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ทำการศึกษา พืชที่เป็นพลังงานแนวใหม่ ที่สามารถให้ Yield แบบน้ำมันมาก เอามาผลิต SAF ได้ จะเป็นพืชพลังงานแบบใหม่ที่เหมาะสมต่อภูมิอากาศในไทย เช่น หยีน้ำ ปอเทือง
"มองว่าในระยะยาวตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อม เกษตรกรไทยได้ประโยชน์ด้วย และในอนาคตจะไม่มีปัญหาเรื่องแย่งวัตถุดิบกัน อย่างน้อยก็ลดการนำเข้า เราจะต่อจิ๊กซอว์ของวัตถุดิบตั้งแต่ต้นน้ำ โดยมีทีมวิจัยทำพัฒนาสายพันธุ์ให้เหมาะสมกับที่จะปลูกในประเทศไทย พอกลางน้ำ เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ ต้องตรวจสอบ 2 ส่วน เพื่อให้รู้ว่าแหล่งที่มาของวัตถุดิบมีความยั่งยืนจริง และการตรวจสอบคุณภาพ ว่าวัตถุดิบที่ผลิตได้มามีคุณภาพ เมื่อมาผสมกับน้ำมันอากาศยานดั้งเดิมแล้วได้มาตรฐานสามารถเติมขึ้นเครื่องบินได้"
ทั้ง 2 ส่วนนี้มีเพียง BAFS เท่านั้นที่ทำได้ เพราะเราทำหน้าที่เป็นคนกลาง จึงเป็นที่มาที่เราจะต้องเตรียมการลงทุน SAF Terminal ซึ่งหน่วยผสมนี้จะเป็น Open Access คือจะเปิดรับวัตถุดิบตั้งต้นจากหลากหลายแหล่งที่มา เพื่อนำมาผลิตและเราเป็นหน่วยตรวจสอบคุณภาพ และมีคลังจัดเก็บ เมื่อตรวจสอบคุณภาพผ่านแล้ว สามารถเติมเข้าระบบสาธารณูปโภคเดิมได้ทั้งท่อและถัง ตอบโจทย์ประเทศไทย เพราะไม่ต้องลงทุนระบบท่อถังใหม่ สามารถมาใช้บริการที่นี่ได้ นี่คือจุดแข็งของ BAFS ซึ่งกุญแจสำคัญคือสถานีผสม และการตรวจสอบคุณภาพ สำหรับโครงการนี้จะแบ่งการลงทุนเป็นเฟส โดยเฟสแรกประเมิน งบลงทุน 800 กว่าล้านบาท เป็นการลงทุนในถังการจัดเก็บเพิ่มเติม ลงทุนระบบการผสม อุปกรณ์ ลงทุนยกระดับห้องทดสอบเพื่อตรวจสอบคุณภาพ
"คาดปี 68 น่าจะมีสัญญาณเคาะ ตอนนี้อยู่ในช่วงพูดคุยหารือ โครงสร้างถือหุ้น BAFS ถือหุ้นค่อนข้างมาก เพื่อเมนเทนท์ความเป็นกลาง ไม่ได้สร้างความได้เปรียบเสียเปรียบกับผู้ค้าน้ำมันรายใด และอาจจะมีผู้ลงทุนนอกที่สนใจเข้ามาลงทุน อยู่ระหว่างพิจารณาหุ้นส่วนธุรกิจ เพราะถ้าเป็นโครงการลงทุนในสเกลที่เหมาะสม อาจจำเป็นต้องเปิดให้มีผู้ถือหุ้นภายนอกเข้ามาเสริมในเชิงกลยุทธ์ Startigic ทั้งสายการบินและบริษัทน้ำมัน ซึ่งโครงการ SAF Terminal ใช้เวลาลงทุน 1-2 ปี เฟสแรก ปี 68 น่าจะได้เห็น"
ส่วนเฟส 2 ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำมันที่ต้องการใช้รองรับ SAF ถ้าพื้นที่เดิมรองรับไม่ได้ก็ต้องขยาย มีการศึกษาไว้เบื้องต้นแล้ว ในเชิงระยะยาวไทยได้ประโยชน์ โดยเฟสแรกคาดใช้ปริมาณน้ำมัน 60 ล้านลิตรต่อปี

*** เล็งขยายโอกาสขยายการลงทุนในมองโกเลีย
ประเทศมองโกเลีย เป็นอีกเป้าหมายของ BAFS ที่จะเข้าไปขยายการลงทุน ทั้งธุรกิจพลังงาน และธุรกิจอื่นๆ การที่เลือกมองโกเลีย เพราะเป็นประเทศที่เศรษฐกิจมีอัตราการเติบโตสูงเป็นอันดับ 5 ของโลก และเติบโตต่อเนื่องปีละ 6-7% ท่ามกลางความมีเสถียรภาพของรัฐบาล เป็นประเทศที่สนับสนุนธุรกิจไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน มีภูมิประเทศเหมาะสม มีพื้นที่กว้าง เหมาะกับการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานลม
ปัจจุบัน บริษษัทขยายโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ราว 21 เมกะวัตต์ ที่ประเทศมองโกเลีย โดย BAFS ถือหุ้น 90% และพันธมิตรท้องถิ่น 10% เริ่มก่อสร้างแล้ว คาดสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) กลางปี 68 โรงไฟฟ้าในมองโกเลีย รัฐบาลสนับสนุน Feed-in Tariff (FiT) ค่อนข้างดี 12 เซนต์ สหรัฐต่อหน่วย ขายไฟรัฐบาล สัญญาต่อเนื่อง 20 ปี และจะดำเนินการโครงการระบบโรงไฟฟ้าสำรองไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System : BESS) ควบคู่แผงโซลาร์เซลล์ เพราะแสงแดดดีมาก ซึ่งจะเป็นโครงการโรงไฟฟ้าแรกที่ติดตั้งระบบแบตเตอรี่ ด้วยมูลค่าลงทุน 926 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดที่จะศึกษาการทำแปลงปลูกต้น อันคาลินา หรือ ปอป่า ในประเทศมองโกเลีย ซึ่งลักษณะภูมิประเทศเหมาะสมสำหรับที่จะเพาะปลูกได้ ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของการใช้เป็นพืชพลังงาน เพื่อนำมาสนับสนุนการผลิตน้ำมัน SAF
บริษัทยังให้คำปรึกษาสำหรับธุรกิจสนามบินในมองโกเลีย ตั้งแต่การพัฒนาสนามบิน ระบบการเติมน้ำมันอากาศยานในสนามบินมองโกเลีย รวมถึงการนำเข้า-ส่งออก สินค้าจากมองโกลเลีย ซึ่งในระยะยาวมีโอกาสสูงที่บริษทจะสร้าง Regional Office เพื่อดูแลธุรกิจครอบคุลมเอเชียตะวันออก
"การที่เรามองธุรกิจในมองโกเลีย เนื่องจากเป็นประเทศที่ส่งเสริมการลงทุน มีความเป็นกลางทางการเมือง รัฐบาลมึเสถียรภาพ เศรษฐกิจเติบโตปีละ 6-7% และทุกคนพูดภาษาอังกฤษได้ "


*** มุ่งสร้างความสมดุล ไม่พึ่งพิงธุรกิจใดมากจนเกินไป
กลุ่มบริษัทได้กําหนดกลยุทธ์หลักเพื่อเป็นเป้าหมายในการดำเนินงาน คือ กลยุทธ์เติบโตอย่างยั่งยืน อยากจะเห็นการเติบโตของโครงสร้างรายได้ที่สมดุล โดยมีเป้าหมายสัดส่วนรายได้ในปี 69 มาจากกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับอากาศยาน 50% กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสาธารณูปโภคและพลังงาน ขนส่งทางท่อ 40% และอีก 10% จากกลุ่มธุรกิจงานบริการ เช่น ดิจิทัลโซลูชั่น หรือ Outsourcing Service ที่มีอยู่
จากปัจจุบัน สัดส่วนรายได้จากธุรกิจหลัก ระบบบริการเชื้อเพลิงอากาศยาน 80% อีก 13% มาจากขนส่งน้ำมันทางท่อ และอีก 7-8% พลังงานหมุนเวียน ส่วนดิจิทัลโซลูชั่น ยังน้อยมาก
ทั้งนี้ เพื่อลดการพึ่งพิงรายได้หลักจากธุรกิจบริการน้ำมันอากาศยาน เพื่อให้กลุ่มบริษัทมีเสถียรภาพทางการเงิน มีความมั่นคง สามารถต้านปัจจัยท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอนาคตได้ หรือถ้ามีโรคระบาดเกิดขึ้นอีกจะได้ไม่เดือนร้อนเจ็บตัวเหมือนตอนโควิด
ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำแผนธุรกิจปี 69 เนื่องจากกลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน การลงทุนต้องใช้เวลากว่าจะเห็นชัดอย่างเป็นรูปธรม แต่เชื่อว่าเดินมาถูกทางแล้ว สะท้อนจากการขยายโครงข่ายท่อขนส่งน้ำมันสายเหนือที่เติบโตสูงมาก จากปี 66 ที่ตั้งเป้าปริมาณขนส่งน้ำมันทางท่อ 600 ล้านลิตรต่อปี แต่ทำได้ 800 ล้านลิตรต่อปี ส่วนปี 67 ตั้งเป้า 900 ล้านลิตร แต่ตอนนี้ทะลุ 1,000 ล้านลิตรไปแล้ว หลังจากผู้ค้าน้ำมันเปลี่ยนโหมดการขนส่ง และยุบคลังน้ำมันตัวเอง และมาใช้คลังน้ำมันรวม ด้วยกลไลการแข่งขัน ผู้ค้าน้ำมันรายอื่นถ้าไม่ทำจะแข่งขันไม่ได้จึงทยอยปิดคลัง และมาใช้คลังรวม สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดี
นอกจากนี้ ยังกำหนดกลยุทธ์เปลี่ยนแปลงองค์กร เพื่อให้กลุ่มบริษัทมีโครงสร้างองค์กรที่ยืดหยุ่น คล่องตัว และมีความสามารถในการแข่งขัน และกลยุทธ์บริหารทรัพยากรมนุษย์ เพื่อมุ่งเน้น การพัฒนาศักยภาพของบุคลากรอย่างต่อเนื่อง
"สิ่งหนึ่งที่มอง โควิดไม่ใช่เรื่องวิกฤตอย่างเดียวยังมีโอกาสด้วย โควิดทำให้เรากลับมาสะท้อนตัวเอง ต้องปรับเปลี่ยนอะไรบ้าง เช่น กระจายความเสี่ยงของโครงสร้างรายได้ของธุรกิจ การบริหารต้นทุนให้ดีขึ้น ทำให้ปรับเปลี่ยน Mindset ของคนในองค์กร"

*** ฐานะการเงินแกร่งสุด รอบ 5 ปี - ลงทุนระมัดระวัง
สถานะทางการเงินของ BAFS ที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 5 ปี เห็นได้จาก EBITDA ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยอดเติมน้ำมันที่เพิ่มขึ้น โดยปีนี้คาดปริมาณการให้บริการน้ำมันอากาศยาน เพิ่มขึ้น 16-17% จากปีที่แล้ว 4,300 ล้านลิตร โดยสิ้นส.ค.67 อยู่ที่ 3,200 กว่าล้านลิตรแล้ว จบปลายปี คาดการณ์ว่าจะสูงถึง 5,100 ล้านลิตร หรือเท่ากับ 84% เทียบกับก่อนโควิด และปี 68 ประเมินว่ายังเติบโตต่อเนื่องเป็น 5,400-5,500 ล้านลิตร
"ผม Happy ที่จะรายงานว่าปีนี้เป็นปีที่ดีที่สุดของ BAFS ในรอบ 5 ปี ในเชิงความสามารถในการทำกำไรดีที่สุด EBITDA margin ทะลุเกือบ 50% จากเป้า 44-45% แม้รายได้จะยังไม่ได้ตามเป้าหมาย"
แม้บริษัทจะมีแผนการขยายการลงทุน แต่คณะกรรมการบริษัท มีแนวคิดการลงทุนทุกโครงการต้องลงทุนด้วยระมัดระวัง ต้องคิดให้รอบคอบเพราะสถานการณ์โลกยังอยู่ในภาวะที่มีความผันผวนสูง ให้มองทุกโครงการด้วยความระมัดระวัง ไม่ควรรีบตัดสินใจ รอจนสถานการณ์โลกเริ่มคลี่คลาย
การลงทุนของบริษัท ได้วางงบประมาณไว้แล้ว ยืนยันไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน เพราะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Operating Cash Flow) อีกส่วนเป็นการกู้เงินจากสถาบันการเงิน ซึ่งบางโครงการกู้สถาบันการเงินเหมาะสมที่สุด เช่น โครงการที่มองโกเลีย พยายามจับมือกับธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) มีความสามารถในการเจรจากับหน่วยงานภาครัฐ และมีมุมมองต่อความเสี่ยงที่มากกว่าธนาคารพาณิชย์ทั่วไป
ทั้งนี้วางงบลงทุน 1,500 ล้านบาท สำหรับลงทุนโครงการเชื่อมท่อ ของบริษัท บาฟส์ขนส่งทางท่อ จํากัด (BPT) ให้บริการขนส่งน้ำมันทางท่อ ส่วนโครงการลงทุนโรงไฟฟ้าวางงบ 1,000 ล้านบาท จากปีนี้ใช้เงินลงทุนส่วนใหญ่เพื่อการพัฒนาระบบด้านความปลอดภัย คุณภาพการให้บริการ ลงทุนดิจิทัลโซลูชั่น รองรับการเติบโตในอนาคต เช่น นำระบบบล็อกเชนมาใช้ในศุลกากร
"ยอมรับว่าขณะนี้มีนักลงทุนสนใจจะเข้าร่วมลงทุน หรือถือหุ้น BAFS เพิ่ม โดยเฉพาะกลุ่มขนาดบริษัทใหญ่ แต่ข้อจำกัดเนื่องจากผู้ถือหุ้นเดิมไม่ขาย นักลงทุนต่างชาติที่สนใจอยากเพิ่มสัดส่วน บางกลุ่มอยากจะขอถือ 7% เพื่อมีที่นั่งคณะกรรมการ (board seat) เป็นโจทย์ท้าทายของฝ่ายบริหาร หาหุ้นให้ไม่ได้ จึงแนะนำให้ไปซื้อในตลาดหลักทรัพย์ฯ"
*** ลุ้นกำไรปีนี้่ดีเกินคาด-ปริมาณเติมน้ำมันโต 16-17%
ส่วนแผนระยะสั้นมีกำหนดชัดเจน ปีนี้เพิ่งฟื้นคืนจากโควิด ต้องเร่งทำเรื่องความสามารถทำกำไร เพื่อเตรียมสะสมกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน วางรากฐานเรื่องความยั่งยืน ธรรมาภิบาล ปีนี้ตั้งเป้าได้หุ้นยั่งยืน 3 ดาว เป็นเป้าหมายระยะสั้น
แนวโน้มกำไรปีนี้คาดดีเกินคาดหมาย ปัจจัยหลักจากควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น จัดการต้นทุนโดยรวมได้ดี รวมถึงผลทางบวกจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากตั้งเป้ารายได้ไว้สูง ซึ่งปริมาณเติมน้ำมันและรายได้ยังต่ำกว่าเป้า 5-6% แต่ยังไม่ยอมแพ้ เพราะก.ย.นี้ เข้าสู่ฤดูหนาวเข้าไฮซีซั่นท่องเที่ยว ปริมาณเติมน้ำมันอากาศยานปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของท่องเที่ยว และขนส่งน้ำมันทางท่อเพิ่มขึ้น ทำให้เชื่อทั้งปีมีความเป็นไปได้ที่ปริมาณเติมน้ำมันจะโต 16-17% (ถ้าตัดผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยน รายได้จะโตมากกว่าปริมาณเติมน้ำมัน)
ส่วนปี 68 เป็นปีเริ่มรายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าสามารถ COD ได้ ขณะที่ธุรกิจหลักเติบโตต่อเนื่อง จึงมองอัตราการเติบโตของปริมาณเติมน้ำมัน ขยายตัวราว 8% หรือเท่ากับ 90% เทียบกับก่อนโควิด และเต็ม 100% ในปี 69
ส่วนธุรกิจทางขนส่งทางท่อ มีโครงการเชื่อมระบบท่อส่งน้ำมัน โครงการระบบท่อขนส่งน้ำมันสายเหนือระยะที่ 3 (สระบุรี-อ่างทอง) เข้ากับระบบคลังน้ำมันสระบุรีของ Thappline เพื่อขยายระบบขนส่งน้ำมันไปภาคเหนือ เตรียมเงินลงทุน 1,500 ล้านบาท ดำเนินการโดย บริษัท บาฟส์ขนส่งทางท่อ จํากัด (BPT) ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการขนส่งน้ำมัน เพื่อรับน้ำมันจากโรงกลั่นน้ำมัน 5 แห่งขึ้นภาคเหนือได้ จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอน ลดต้นทุนการขนส่ง นอกจากนี้ จะมีการลงทุนเพื่อให้คลังน้ำมันปลายท่อ เป็นจุดกระจายน้ำมันเพื่อการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้ โดยหารือกับกรมสรรพสามิตอยู่
ทั้งนี้ ท่อขนส่งน้ำมันส่วนเชื่อมต่อ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างภายในปี 67 และมีแผนเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ภายในปี 69 โดยคาดว่าจะส่งผลให้ปริมาณขนส่งน้ำมันผ่านท่อน้ำมันไปยังภาคเหนือสูงขึ้น 50% ยกระดับโครงข่ายการขนส่งน้ำมันทางท่อในโครงการขยายระบบท่อขนส่งน้ำมันไปภาคเหนือ รวมระยะทางกว่า 628 กิโลเมตร นับเป็นระบบขนส่งน้ำมันทางท่อที่ยาวที่สุดในอาเซียน จากปัจจุบัน มีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้น 35% เมื่อเชื่อมท่อเสร็จ จะเพิ่มเป็น 65% จาก 1,000 ล้านลิตร เป็น 2,000 ล้านลิตร
ส่วนประเด็นสัมปทานเติมน้ำมันอากาศยานในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งจะหมดอายุปี 69 คาดว่า AOT อยู่ระหว่างพิจารณาต่อสัญญา ในอดีตมีคู่แข่งเป็นต่างชาติแต่พอเกิดโควิดก็ไม่มีแล้ว ตอนนี้ Market Share 100% เชื่อ AOT จะพยายามหาคนมาแข่งขัน เราก็พร้อมเสนอข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากสุด ทั้งในแง่คุณภาพบริการและความปลอดภัย ก็หวังว่าบริษัทจะยังได้รับสัมปทานต่อไป

*** ฝากถึงรัฐบาลใหม่ ผลักดันสนามบินอู่ตะเภา
สำหรับภาคการท่องเที่ยว โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ถือเป็นโครงการสำคัญ ถ้ารัฐบาลอยากจะเห็นความสำเร็จของโครงการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จำเป็นอย่างยิ่งที่นายกรัฐมนตรี ต้องลงมานั่งหัวโต๊ะ เพื่อแสดงออกถึงภาวะผู้นำที่อยากจะผลักดันสนามบินให้เกิดขึ้นอย่างชัดเจน
ในส่วนของโครงการบริการนํ้ามันเชื้อเพลิงอากาศยานสนามบินอู่ตะเภา ได้ดำเนินการในรูปแบบการร่วมลงทุนในบริษัทร่วมค้า ระหว่าง BAFS ถือหุ้นในสัดส่วน 55% บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ถือหุ้นในสัดส่วน 45% มูลค่าการลงทุนเริ่มแรก 2,337 ล้านบาท ปัจจุบันการก่อสร้างเกือบจะเสร็จแล้ว ทั้งถังและท่อ ขณะที่สนามบินยยังไม่ได้ก่อสร้าง