efinancethai

กุนซือโลกการเงิน


กุนซือโลกการเงิน หุ้นอะไรเอ่ย…ไม่แพง โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โดย
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

:-
.

หุ้นอะไรเอ่ย…ไม่แพง

โลกในมุมมองของ Value Investor 

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

 

               อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ นักพูดชื่อดังและหนึ่งในพิธีกรรายการ Money Talk เคยเล่าเรื่องโจ๊กในรายการโดยการถามผมในฐานะของ “นักลงทุน” ว่า “อะไรเอ่ย…ราคาไม่เคยแพง?” ผมเองก็ตอบไม่ได้ เพียงแต่คิดว่าอาจจะเป็นสโลแกนของร้านขายปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ  “วอลมาร์ท” ที่ใช้คำว่า  “Low Price, Every Day” หรือ  “ราคาถูกทุกวัน” แต่คำตอบที่ถูกต้องก็คือ  “เมีย”  เพราะเมียนั้น  “ถูกเสมอ” หรือทำอะไรก็ไม่เคยผิด

 

               แต่เมื่อมาคิดถึงหุ้น  ที่แทบทุกตัวนั้นมีราคาขึ้นลงทุกวัน  และนักลงทุน โดยเฉพาะที่เป็น Value Investor  ต่างก็พยายามหาหุ้นที่ “ไม่แพง” เพื่อที่ว่าจะได้ขายหุ้นทำกำไรได้งดงามก็มักจะเป็นเรื่องที่หาได้ยาก  เพราะหุ้นนั้นมักจะมีความผันผวนขึ้นลงเร็ว  บางครั้งก็แพง แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็กลายเป็นหุ้นถูก โอกาสที่จะหาหุ้นที่ถูกอยู่เรื่อย ๆ หรือถูกเป็นส่วนใหญ่ก็มักจะหาได้ยาก แต่จากประสบการณ์ของผมที่อยู่ในตลาดหุ้นมานาน  ผมพบว่ามีหุ้นอยู่กลุ่มหนึ่งที่มักจะ “ถูกเสมอ” ถูกแบบเรื้อรัง  แต่คนที่ซื้อไปก็มักจะไม่สามารถทำกำไรได้สูงกว่าปกติต่อเนื่องยาวนาน  หุ้นกลุ่มนั้นก็คือ  “หุ้นแบงก์”

 

               ในตลาดหุ้นไทย  ย้อนหลังไปหลายสิบปีในยามที่ประเทศกำลังพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว  เศรษฐกิจเติบโตมาก  ซึ่งทำให้ดัชนีตลาดหุ้นเติบโตตามกันไป  หุ้นแบ้งค์เป็นกลุ่มหุ้นจดทะเบียนที่ใหญ่ที่สุด  คิดเป็นมูลค่าตลาดของหุ้นหลายสิบเปอร์เซ็นต์ก็เป็นกลุ่มที่มีผลประกอบการของบริษัทเติบโตเร็วกว่าเศรษฐกิจโดยรวม  แต่ราคาหุ้นก็ไม่ได้ปรับตัวขึ้นไปมากมายนัก  ซึ่งก็ทำให้ราคาหุ้น “ไม่แพง”

 

และเป็นที่สนใจของนักลงทุนสถาบันโดยเฉพาะที่เป็นต่างชาติ  พวกเขาเข้ามาซื้อจนสัดส่วนหุ้นที่เป็นต่างชาติเต็ม คือไม่เกิน 30%  ส่งผลให้ต้องมีการแยกกระดานที่เป็นหุ้นต่างชาติกับกระดานหุ้นไทย  โดยที่หุ้นกระดานต่างประเทศมักจะมีพรีเมี่ยม  หรือมีราคาสูงกว่าราคาหุ้นที่ถือโดยคนไทย

 

หุ้นแบงก์ที่เวียดนามในช่วงนี้  ที่เศรษฐกิจของเวียดนามกำลังพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว  ก็ทำให้ผลประกอบการของแบงก์เวียดนามโตเร็วกว่าเศรษฐกิจ  และเช่นเดียวกับแบงก์ไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน  Market Cap. ของหุ้นแบงก์มีขนาดใหญ่ที่สุดและคิดเป็นหลายสิบเปอร์เซ็นต์ของตลาดหุ้นเวียดนาม  แต่ราคาหุ้นแบงก์โดยเฉพาะปีนี้ก็ไม่ได้ปรับตัวขึ้นมากนัก  ว่าที่จริงราคาหุ้นแบงก์ดูเหมือนจะ “ถูกมาก”  และก็ถูกมานานแล้ว

 

และก็เช่นเดียวกับหุ้นแบงก์ไทยเมื่อหลายสิบปีก่อนที่เป็นหุ้นยอดนิยมของนักลงทุนสถาบันโดยเฉพาะที่เป็นต่างชาติ   ที่เข้าไปไล่ซื้อซึ่งทำให้หุ้นแบงก์จำนวนมากมี  “Foreign Premium” หรือมีราคาแพงกว่าหุ้นที่ถือโดยคนเวียดนาม

 

เหตุผลที่ทำให้หุ้นแบงก์มีราคาถูกและถูกต่อเนื่องในความคิดของผมก็คือ  “กิจการของแบงก์นั้นมักจะดีเสมอจนถึงวันที่มันเจ๊ง”  ความหมายก็คือ  ในยามปกติ แบงก์ในประเทศกำลังพัฒนามักจะสามารถปล่อยกู้หรือทำธุรกิจเพิ่มขึ้นได้ง่าย  เพราะเศรษฐกิจกำลังเติบโตซึ่งต้องการสินเชื่อจำนวนมาก  และแบงก์ทุกแห่งก็สามารถแข่งขันปล่อยกู้ได้เต็มที่  เพราะเงินนั้น ไม่ว่าจะมาจากแบงก์ไหนก็มีคุณสมบัติเหมือนกันหมด  แบงก์ไม่ต้องทำการตลาด  อยู่เฉย ๆ ลูกค้าหรือลูกหนี้ต่างก็มาขอสินเชื่อจนแทบไม่มีเงินพอที่จะให้ ในบางช่วงเวลารัฐบาลหรือแบงก์ชาติต้องออกมากำหนดไม่ให้แบงก์ปล่อยกู้มากเกินไปด้วยซ้ำ

 

เมื่อปล่อยกู้ออกไปแล้ว กำไรก็ไหลมาโดยไม่ต้องทำอะไร ดอกเบี้ยหรือส่วนต่างดอกเบี้ยเงินกู้ลบเงินฝากที่แบงก์ได้รับนั้น  เดินหน้าทุกวันไม่เคยหยุด  กำไรแบงก์แทบทุกแห่งเติบโตก้าวกระโดด  ต้นทุนสำคัญเช่นค่าแรงและค่าเสื่อมนั้นค่อนข้างคงที่ ต้นทุนสำคัญอีกตัวหนึ่งคือเรื่องของการสำรองหนี้สูญนั้น  ค่อนข้างน้อย เพราะลูกหนี้ “แข็งแรง” และเพิ่งจะมาขอกู้หนี้เพื่อลงทุนในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตเร็วตามภาวะเศรษฐกิจ  กำไรของแบงก์จึงดูดีมาก  นักลงทุนสถาบันจึงแห่กันลงทุนในหุ้นแบงก์ 

 

จนถึงวันหนึ่ง ก็พบว่าเศรษฐกิจที่ร้อนแรงเกินไปก่อให้เกิดภาวะการแข่งขันที่รุนแรง  ปริมาณการผลิตสินค้าของกิจการต่าง ๆ เพิ่มขึ้นเร็วกว่าความต้องการ  สินค้าล้นตลาด บริษัทที่อ่อนแอขายสินค้าไม่ได้  เกิดปัญหาสภาพคล่องทางการเงินและล้มละลาย  ผลิตภัณฑ์สำคัญอย่างหนึ่งก็คืออสังหาริมทรัพย์ที่มักจะเริ่มมีปัญหากลายเป็นหนี้เสีย  ทั้งในกรณีของไทยก่อนปี 2540 และในกรณีของเวียดนามที่เพิ่งจะเกิดเร็ว ๆ นี้ ที่มีปัญหาไม่สามารถใช้หนี้ได้ ในกรณีของไทยได้ทำให้แบงก์ล้มเป็นวิกฤติ ในกรณีของเวียดนามในปัจจุบันก็เป็นตัวที่ฉุดแบงก์ให้ต้องปรับโครงสร้างกันหลายแห่ง

 

ข้อสรุปก็คือ แบงก์นั้น  มักจะดีไปเรื่อย ๆ  จนถึงวันที่มันจะเจ๊งหรือแย่หนักเนื่องจากหนี้เสียรุนแรง ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้แก่แบงก์ในระดับ  “หายนะ” ซึ่งจะกลืนกินกำไรที่อาจจะสะสมมานาน  ผลก็คือ ในระยะยาวแล้ว กิจการแบงก์อาจจะไม่ได้ดีมากอย่างที่คิด แม้ว่าในบางช่วงบางตอนโดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตดี  แบงก์อาจจะกำไรดีมาก  และดังนั้น  ตลาดทุนหรือตลาดหุ้นจัง “Discount” หรือลดราคาหุ้นแบงก์ลงต่ำกว่ากิจการอย่างอื่นที่เมื่อโตแล้วจะไม่เกิดปัญหาแบบแบงก์  และนั่นทำให้ราคาหุ้นแบงก์ดูเหมือนว่าจะ “ไม่เคยแพง” ค่า PE มักจะไม่เกิน 10 เท่า  บางแห่งแค่ 4-5 เท่าก็มี

 

ประวัติศาสตร์จากหุ้นแบงก์ไทยก็คือ  หลังจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจมาหลายสิบปี  หุ้นแบงก์ที่เคยใหญ่โตมากที่สุดในตลาดหุ้นและมี Market Cap. หลายสิบเปอร์เซ็นต์ในตลาดนั้น  มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ  เมื่อเทียบกับธุรกิจอื่น  หุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัวแรกในตลาดอาจจะเป็นหุ้นแบงก์เสีย 4-5 ตัว ก็อาจจะไม่มีสักตัวแล้วในปัจจุบัน  ดังนั้น หุ้นแบงก์จึงมักจะไม่ใช่หุ้นซูเปอร์สต๊อก  ในระยะยาวไม่สามารถโตไปได้เร็วเกิน 10% ต่อปีอะไรทำนองนั้น และในระหว่างทางก็มักจะประสบกับ “วิกฤติ” อะไรบางอย่าง

 

หุ้นแบงก์เวียดนามในปัจจุบันเองก็คล้าย ๆ  กับหุ้นแบงก์ไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน  หุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัว  เป็นหุ้นแบงก์  3-4 ตัว ผลประกอบการหุ้นแบงก์ตอนนี้ก็ดูดีมากและราคา  “ถูกมาก”  ว่าที่จริงหุ้นแบงก์นั้น  “ถูกเสมอ” และถูกมานานแล้ว  และสำหรับ “VI” นั้น  หุ้นแบงก์เป็นหุ้นที่ “ลงทุนได้” เพราะเป็นกิจการที่ยังเติบโตระยะยาว  ผลประกอบการมั่นคงและสม่ำเสมอและ “กำไรดี”  สามารถคาดการณ์ได้  และที่สำคัญก็คือ  มักจะมีราคาถูกหรือถูกมาก  นอกจากนั้น ถึงแม้ว่าแบงก์บางแห่งอาจจะไม่เข้าข่ายนั้น  แต่มักจะมีหุ้นแบงก์บางตัวที่น่าลงทุนเสมอ

 

แม้แต่วอเร็น บัฟเฟตต์เองก็ยังลงทุนในหุ้นแบงก์แทบจะตลอดมา เขาเคยถือหุ้นแบงก์เวลฟาร์โก้มานานก่อนที่จะขายด้วยความผิดหวังเพราะหุ้นตัวนี้   ที่เขาซื้อเพราะมีการบริหารงานที่ดีกว่าแบงก์อื่น  เกิดอาการ “ดีแตก” ซึ่งน่าจะทำให้เขาไม่ได้กำไรอะไรนับจากการลงทุนถือมายาวนาน  ว่าที่จริง การถือหุ้นแบงก์ของบัฟเฟตต์ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้  น่าจะให้ผลตอบแทนที่ไม่ดีนักแม้ว่าบ่อยครั้งเขาเข้าไปถือเพราะแบงก์มีปัญหาจาก “วิกฤติ” และราคาหุ้นตกลงมากจนทำให้ราคาหุ้นถูกสุด ๆ  แบบ “Super Cheap”

 

กลับมาที่หุ้นแบงก์ของเวียดนามในปัจจุบัน ที่ตอนนี้ถือว่าเป็นกลุ่มหุ้นที่ใหญ่โตมากที่สุด  ละดูเหมือนว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวขึ้น  วิกฤติอสังหาริมทรัพย์ที่ทำให้หุ้นกู้รวมถึงเงินกู้มีปัญหาก็ดูเหมือนว่ากำลังได้รับการแก้ไข ผลประกอบการของแบงก์น่าจะดีขึ้นมากในช่วงต่อจากนี้  หุ้นแบงก์เองก็ถูกมาก  ดังนั้น หุ้นแบงก์น่าจะเติบโตโดดเด่นไหม?

 

ผมเองไม่สามารถจะตอบได้ แต่โดยส่วนตัวตั้งแต่ตอนสร้างพอร์ตลงทุน “ระยะยาว”  ที่เวียดนามเมื่อปลายปีที่แล้ว  ผมเองมีหุ้นแบงก์น้อยกว่าสัดส่วนของแบงก์ในตลาดเวียดนามมาก  และก็ไม่ได้ถือหุ้นแบงก์โดยตรงเลย  แต่ถือผ่านกองทุน ETF ที่ถือหุ้นแบงก์อยู่บ้าง  เหตุผลก็เพราะผมเน้นลงทุนระยะยาวในหุ้นแบบ “ซูเปอร์สต๊อก” ซึ่งแบงก์ไม่เข้าข่าย  และในความคิดของผม  หุ้นแบงก์ของเวียดนามในระยะยาวก็น่าจะลดขนาดลงเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่นแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา

 

ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นแบงก์เป็นกิจการที่ไม่ดีหรือไม่น่าลงทุนในระยะยาว  ว่าที่จริงผมเองก็ยังถือหุ้นแบงก์ไทยในระดับที่มีนัยสำคัญ  เหตุผลก็คือ แบงก์นั้นมักจะมีหุ้นที่  “ถูกเสมอ” ที่ทำให้เราสนใจที่จะลงทุน  ประเด็นก็คือ เราคงต้องจับตามองตลอดเวลาว่า วิกฤติอาจจะเกิดขึ้นเมื่อไร ซึ่งบางทีก็พลาดได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  เล่นหุ้นแบงก์ก็ต้องดูปันผลว่าควรจะต้องงดงามที่จะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวหุ้นวันใดวันหนึ่งได้ 







บทความอื่นๆที่น่าสนใจ



RECOMMENDED NEWS

ข่าวหุ้นยอดนิยม

Refresh