จาก 1920s ถึง 2020s: Deja vu เศรษฐกิจโลก
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ
น่าจะไม่บ่อยครั้งที่จะได้เห็นคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป เล่าเรื่องราวที่กำลังอยู่ในกระแสด้วยมิติที่เป็นส่วนผสมแนวเศรษฐศาสตร์กับประวัติศาสตร์ได้อย่างน่าสนใจ
ลาการ์ดได้เปรียบเทียบความเหมือนบนความแตกต่างระหว่างทศวรรษ 1920s กับ 2020s ไว้อย่างลงตัว ดังนี้
โดยหากย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1910s จะพบว่าเป็นช่วงที่โลกเรายังไม่เคยเกิดสงครามโลกมาก่อน อีกทั้งเพิ่งจะผ่านการปฏิวัติอุตสาหกรรมมาได้ไม่นาน โดยมูลค่าการค้าของโลกเมื่อเทียบต่อจีดีพี เพิ่มจาก 10% ในปี 1870 มาเป็น 21% ในปี 1913 ได้สร้างความคาดหวังและไลฟ์สไตล์ใหม่ๆให้เกิดขึ้น โดย จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังในยุคนั้น ได้เขียนไว้ว่า ผู้ที่อยู่ในลอนดอนสามารถสั่งซื้อของผ่านทางโทรศัพท์ จิบชาในช่วงเช้าบนเตียงนอน โดยสามารถสั่งซื้อสินค้าต่างบนโลกนี้ได้ให้มาส่งที่หน้าประตูบ้านได้ โดยคนในยุคนั้นเชื่อว่าจะเป็นเช่นนี้ได้แบบถาวร
อย่างไรก็ดี หลังจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 การสิ้นสุดของความรุ่งเรืองของอังกฤษก็เริ่มเกิดขึ้น ประเทศต่างๆเริ่มจะตั้งกำแพงภาษีระหว่างกัน (Fragmentation) เพื่อให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจตนเองจากสงครามเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ดี ความก้าวหน้าของเทคโนโลยียังเกิดขึ้นต่อไป ไม่ว่าจะเป็นทั้งในอังกฤษ ยุโรป และสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมรถยนต์
ด้วยความคล้ายคลึงทั้งหมดระหว่างยุค 1920s กับ 2020s ดังกล่าว ได้นำมาซึ่งการประเมินผลกระทบของนโยบายการเงินตัวต่อแปรทางเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน ดังนี้
1.Fragmentation: ผลกระทบจากวิกฤตโควิค-19 ต่อห่วงโซ่อุปทานของโลก
ที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ มูลค่าการค้าของสินค้าแบบ Intermediate goods จากเดิมที่เคยคิดเป็น 2 เท่าของมูลค่าการค้ารวมทั่วโลก เหลือเพียง 50% ของมูลค่าการค้ารวมทั่วโลก นั่นคือ ในปัจจุบัน แหล่งการผลิตต่างๆทั่วโลกลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากแหล่งในต่างประเทศลง โดยหันมาใช้วัตถุดิบในประเทศหรือพื้นที่ใกล้เคียงของตนเอง
โดยแนวโน้มดังกล่าว จะทำให้เกิดปรากฎการณ์ 2 อย่าง คือ
หนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่าง domestic slack (ส่วนต่างระหว่างขนาดเศรษฐกิจในปัจจุบันกับขนาดเศรษฐกิจแบบเต็มศักยภาพ) กับ ระดับอัตราเงินเฟ้อ น่าจะอยู่ในระดับที่สูงขึ้นกว่าช่วงโควิด เนื่องจากการหาวัตถุดิบหรือสินค้า Intermediate goods จากต่างแดนจะน้อยลงกว่าเดิม หากราคาของ Input ดังกล่าว จะแพงขึ้นมาก หากความต้องการของสินค้าต่างๆเพิ่มขึ้นจนใกล้กับระดับที่เต็มศักยภาพ
นั่นคือ เราอาจน่าจะไม่ได้เห็นสภาวะก่อนวิกฤตโควิดแบบที่ธนาคารกลางต่างๆลดดอกเบี้ยจนเข้าใกล้ระดับศูนย์ ทว่าอัตราเงินเฟ้อของประเทศต่างๆก็ยังไม่ขยับขึ้นมาเข้าใกล้หรือเกินระดับเป้าหมายเสียที
อย่างไรก็ดี มีแนวโน้มที่อัตราเงินเฟ้อของโลกในอนาคตจะมีความผันผวนมากขึ้น จากการที่ต้นทุนของสินค้าในประเทศต่างๆ จะขึ้นและลงค่อนข้างถี่กว่าในอดีต เนื่องจากแหล่งของวัตถุดิบและสินค้าที่เป็นส่วนหนึ่งของการผลิตจะถูกขีดจำกัดให้แคบลง
สอง กระบวนการส่งผ่านทางนโยบายการเงินจากอัตราดอกเบี้ยสู่ภาคเศรษฐกิจจริงมีความเข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากรัฐบาลและภาคเอกชนต้องมีการลงทุนด้านสินค้าทุนในประเทศเพิ่มขึ้น (Capital Deepening) จากเดิม เนื่องจากต้องการจะมีแหล่งการผลิตรองรับในกรณีที่การนำเข้าสินค้าจากต่างชาติไม่สามารถทำได้ เนื่องจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์หรือโรคระบาด
โดยการที่เศรษฐกิจของประเทศต่างๆมีความเป็น Capital Deepening มากขึ้น ย่อมจะทำให้ความอ่อนไหวของอัตราดอกเบี้ยที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจจริงมีมากขึ้น เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจภาคบริการที่ไม่ต้องใช้การลงทุนสินค้าทุนมากนักจะลดลง
งานวิจัยของฝั่งยุโรป ประเมินว่าจากเดิมที่การเพิ่มขึ้น 1% ของราคาวัตถุดิบ จะส่งผลให้จีดีพีเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 0.44% จะมีขนาดมากขึ้นกว่านี้ จากการที่ Supply Chain ที่สั้นลง สามารถกระบวนการส่งผ่านต้นทุนในห่วงโซ่เศรษฐกิจจากต้นทางไปสู่ปลายทางมีแรงส่งมากขึ้น
2. ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ปัจจัยนี้ ไม่เหมือนกับ Fragmenation ที่ทำให้นโยบายการเงินสามารถส่งผลต่อเศรษฐกิจได้ดีขึ้น โดยเทคโนโลยีที่พัฒนาให้มีความก้าวหน้ามากขึ้น สามารถทำให้นโยบายการเงินทั้งมีผลต่อเศรษฐกิจได้ทั้งมากขึ้นและน้อยลงไปพร้อมๆกัน ดังนี้
เริ่มจาก Financial Technology หรือ FinTech ที่ในปี 2022 ได้สร้างรายได้ราว 5% ของรายได้รวมของแบงก์ทั่วโลก คิดเป็นระหว่าง $1.5 - $2.05 แสนล้าน คาดว่าในปี 2028 รายได้จะเพิ่มขึ้นเป็น $4 แสนล้าน หรือคิดเป็นการเติบโตปีละ 15%
ทั้งนี้ จากการที่ระบบ credit scoring ของ Financial Platform มีความก้าวล้ำหน้าไปไกลทั้งในมิติของความสามรถในการจับข้อมูล Big Data ของผู้กู้และผู้ฝากเงินของบุคคลต่างๆ จะทำให้การประมวลผลความเสี่ยงของบุคคลต่างๆที่จะเข้ามากู้เงิน สามารถทำได้แม่นยำและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ในอนาคต การกู้เงินในรูปแบบสินเชื่อต่างๆ จะใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันน้อยลง เนื่องจาก Platform จะสามารถประเมินความเสี่ยงของบุคคลต่างๆได้แม่นยำและรวดเร็วมากขึ้น จนทำให้การอนุมัติสินเชื่อสามารถทำผ่านโทรศัพท์มือถือด้วยระยะเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชัวโมง
ทั้งนี้ จะทำให้การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็วและมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดี การที่โลกแห่งดิจิทัลจากนี้ไปและอนาคต จะมีลักษณะแบบ Winner-take-all มากยิ่งขึ้น นั่นย่อมจะทำให้ผู้เล่นในตลาดเหลือจำนวนน้อยรายลง อาทิ ในตลาด Search Engine ที่มีเพียง Google เท่านั้นที่เป็นเจ้าตลาด หรือ Hyperscalar ที่เหลือเพียง 5 บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลกเท่านั้นที่เป็นเจ้าตลาด ย่อมจะทำให้การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง แทบจะไม่มีผลต่อยอดขายของบริษัทเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย
นั่นคือ นโยบายการเงินจะมีผลต่อเศรษฐกิจจริงค่อนข้างน้อยในตลาดที่เป็นแบบ Monopoly ดังกล่าว