หุ้น Magnificent 7 แห่งตลาดยุโรป
ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ
หุ้น Magnificent 7 แห่งตลาดยุโรป
นอกจากหุ้น Magnificent 7 ของตลาดฝั่งสหรัฐ ยังมีหุ้นอีกหนึ่งชุดจากฝั่งยุโรปซึ่งมีความคล้ายคลึงกัน ที่เรียกกันทั่วไปว่า Granola ผมขอพรีวิว 7 หุ้นในกลุ่มนี้ ดังนี้
ASML บริษัทผลิตเครื่องผลิตชิปขนาดใหญ่ที่สุดในโลกของเนเธอร์แลนด์: ก่อตั้งในปี 1984 ทำการพัฒนา ผลิต และจำหน่ายอุปกรณ์ที่ไว้ใช้ผลิตอุปกรณ์เซมิคอนดัคเตอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องจักรที่ไว้ใช้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์ผ่านเทคโนโลยี lithography โดยรายได้กว่า 90% มาจากเอเชีย ซึ่งรวมถึงผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลกด้วย โดยเป็นผู้ผลิตชิปผ่านเทคโนโลยี lithography ซึ่งรวมถึงระบบ EUV (extreme ultraviolet) lithography และ DUV (deep ultraviolet) lithography โดยการขายระบบ (System Sales) คิดเป็น 70% ของยอดขายรวม ณ สิ้นเดือน กุมภาพันธ์ 2024 มีค่า P/E เท่ากับ 46 เท่า และ Market Cap ราว 347 ล้านยูโร
LVMH บริษัทสินค้าหรูหราที่มีการกระจายความเสี่ยงในหลายเซกเมนต์: ภายใต้การมีแหล่งผลิต 110 แห่งในฝรั่งเศส โดยผลิตและจำหน่ายไวน์และบรั่นดี (ภายใต้ยี่ห้อ Dom Pérignon, Moët & Chandon, Veuve Clicquot และ Hennessy) น้ำหอม (ภายใต้ยี่ห้อ Christian Dior, Guerlain และ Givenchy) เครื่องสำอาง กระเป๋า (ภายใต้ยี่ห้อ Marc Jacobs, Givenchy, Kenzo, และ Louis Vuitton) นาฬิกา และจิวเวลรี่ (ภายใต้ยี่ห้อ TAG Heuer และ Bulgari) โดย LVMH ภายใต้การถือหุ้นของ Christian Dior และ เบอร์นาร์ด อาร์โนลด์ โดยกลุ่มแฟชั่นและเครื่องหนัง คิดเป็นประมาณ 50% ของยอดขาย โดยมียอดขาย 40% ในเอเชีย ตามด้วยสหรัฐ 25% และยุโรปอีก 20% ณ สิ้นเดือน กุมภาพันธ์ 2024 มีค่า P/E เท่ากับ 28 เท่า และ Market Cap ราว 429 ล้านยูโร
L'Oréal ของฝรั่งเศส: บริษัทผลิตสินค้าผลิตภัณฑ์ด้านความงามที่ใหญ่ที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอาง น้ำหอม และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเส้นผม ภายใต้ 35 แบรนด์ อาทิ L'Oréal Paris, Garnier, and Maybelline (มุ่งไปที่ Mass Market) Lancome และ Kiehl’ s (ตลาดสินค้าฟุ่มเฟือย) นอกจากนี้ ยังมี license กับแบรนด์ Yves Saint Laurent รวมถึงผลิตเครื่องสำอางแบบ Active ภายใต้แบรนด์ the SkinCeuticals และ CeraVe รวมถึงเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพรรณแบบพรีเมียม Aesop ของออสเตรเลีย โดยยอดขายส่วนใหญ่อยู่ในยุโรป โดยยุโรปและเอเชียเหนือต่างมียอดขายราว 30% ของทั้งหมด และทวีปอเมริกาเหนือมีราว 25% ณ สิ้นเดือน กุมภาพันธ์ 2024 มีค่า P/E เท่ากับ 38 เท่า และ Market Cap ราว 237 ล้านยูโร
Nestlé บริษัทด้านอาหารและเครื่องดื่มจากสวิตเซอร์แลนด์: เจ้าของลิขสิทธิ๋ 2 พันแบรนด์ อาทิ กาแฟระดับชั้นนำของโลกอย่าง Nescafé ไอศกรีม Haagen-Dazs อาหารสัตว์ยี่ห้อ Purina พิซซ่ายี่ห้อ DiGiorno ช็อกโกแลต,ช็อกโกเลต KitKat น้ำดื่มยี่ห้อ Perrier และ กาแฟแคปซูล Starbucks ไฮไลต์สำหรับในช่วงนี้ คือ Nestlé ยังได้หันมาลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาในสินค้าที่มีอัตราการเติบโตสูงในอนาคต อาทิ กาแฟ น้ำดื่ม อาหารเสริม และอาหารสัตว์เลี้ยง ณ สิ้นเดือน กุมภาพันธ์ 2024 มีค่า P/E เท่ากับ 21 เท่า และ Market Cap ราว 247 ล้านฟรังค์สวิส
Novartis บริษัทจากสวิตเซอร์แลนด์ผลิตสินค้าด้านเภสัชกรรมและผลิตภัณฑ์ด้าน Consumer Healthcare: โดยใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดิจิทัลในการสร้างผลิตภัณฑ์ด้านการรักษาโรค โดยประกอบด้วยทั้งยาแบบมีสิทธิบัตรและยาแบบ Generic โดยผลิตภัณฑ์แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม Innovative Medicine ประมาณ 80% และ กลุ่มยาทั่วไป Sandoz ประมาณ 20% ซึ่งกำลังจะค่อยๆ ถูกขายกิจการออกไป ณ สิ้นเดือน กุมภาพันธ์ 2024 มีค่า P/E เท่ากับ 14 เท่า และ Market Cap ราว 203 ล้านฟรังค์สวิส
Roche เป็นบริษัทเภสัชกรรมสวิสที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก: โดยมีฐานปฏิบัติการอยู่กว่า 100 ประเทศ โดยยาประเภทตามใบสั่งยา ได้แก่ MabThera/Rituxan กับ Avastin, Perjeta และ Kadcyla Dupixent รวมถึงยาด้านมะเร็งปอด ได้แก่ Esbriet และ Tarceva รวมถึง Tamiflu ซึ่งรักษาโรคติดเชื้อทั่วไป พร้อมกับทำการตลาดในสหรัฐและญี่ปุ่นผ่าน Genentech และ Chugai Pharmaceutical ตามลำดับ โดยรายได้ส่วนหลักมาจากทวีปอเมริกาเหนือ ณ สิ้นเดือน กุมภาพันธ์ 2024 มีค่า P/E เท่ากับ 12 เท่า และ Market Cap ราว 188 ล้านฟรังค์สวิส
Sanofi บริษัทยาชั้นนำของยุโรป: เน้นวิจัย พัฒนา และผลิตยาของฝรั่งเศส โดยได้พัฒนายารักษาเกี่ยวกับโรคหัวใจ ระบบประสาทส่วนกลาง และการวินิจฉัยมะเร็ง โดยมีลูกค้าทั่วโลก โดยยาซึ่งมียอดขายดีที่สุดชื่อ Dupixent โดยกว่าร้อยละ 87 ของยอดขายรวมมาจากยาชนิดนี้ ทว่าก็มีประเด็นการฟ้องร้องยา Zantac ซึ่งล่าสุดเหมือนจะจบลงในเบื้องต้นให้เป็นประโยชน์ต่อ Sanofi ณ สิ้นเดือน กุมภาพันธ์ 2024 มีค่า P/E เท่ากับ 11.5 เท่า และ Market Cap ราว 112 ล้านยูโร