กุนซือโลกการเงิน


กุนซือโลกการเงิน เริ่มยุคทองหุ้นซุปเปอร์สต็อกเวียดนาม? โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โดย
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

:-
.

เริ่มยุคทองหุ้นซุปเปอร์สต็อกเวียดนาม?

 

โลกในมุมมองของ Value Investor 

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

 

เริ่มยุคทองหุ้นซุปเปอร์สต็อกเวียดนาม?

 

     วิวัฒนาการการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามของผมในช่วงประมาณ 6-7 ปีที่ผ่านก็คือ ช่วงที่ 1 หรือช่วงแรก เป็นการรีบลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงจากตลาดหุ้นไทยไปสู่เวียดนามที่ผมเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจสดใสและกำลังกลายเป็น “ดาราดวงใหม่” ของโลก แต่เพราะไม่รู้จักหุ้นรายตัวเลยและก็ไม่รู้ว่ามีกองทุนอิงดัชนีหรือไม่  ผมจึงใช้วิธีคัดกรองหุ้นด้วยหลักการแบบ “VI” เลือกหุ้นทุกตัวที่มีค่า PE ไม่เกิน 10 เท่า  PB ไม่เกิน 1 เท่า ปันผลไม่ต่ำกว่าปีละ 5% และมีขนาดของหุ้นทั้งบริษัทหรือ Market Cap. ไม่ต่ำกว่าประมาณ 4-500 ล้านบาท ซึ่งทำให้ได้หุ้นมาร้อยกว่าตัวและหุ้นแต่ละตัวก็มีขนาดไม่เกิน 4-5 ล้านบาท  เป็น “เบี้ยหัวแตก” ที่ส่วนใหญ่แล้วผมไม่รู้เลยว่าบริษัทชื่ออะไรและทำอะไรจนถึงวันนี้

     ต่อมาเมื่อเริ่มมีความรู้มากขึ้น  ผมก็เริ่มเลือกหุ้นเป็นรายตัวโดยอาศัยคำแนะนำจากนักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์  และบางส่วนก็เลือกหุ้นแนว Defensive เช่นเขื่อนและโรงไฟฟ้า  รวมถึงกิจการสาธารณูปโภคเช่น ทางด่วนและผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำประปาและน้ำอุตสาหกรรมที่ผมคิดว่ามีความปลอดภัยและให้ผลตอบแทนสูงพอสมควรอานิสงค์จากการที่รัฐบาลให้ผลตอบแทนตาม ต้นทุนเงินทุนหรือ IRR ที่สูงกว่าของไทยมาก ขนาดของการลงทุนในหุ้นแต่ละตัวก็มีขนาดใหญ่ขึ้นพอสมควรแต่จำนวนหุ้นที่ลงทุนก็ยังค่อนข้างมากคือน่าจะประมาณ 30 ตัว

     รอบที่สามนั้น  น่าจะเรียกว่าเป็นการเริ่มลงทุนในหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ของเวียดนามที่เป็นหุ้นที่ผมชอบและลงทุนเป็นหลักในตลาดหุ้นไทยมานานเป็นสิบๆปีแล้ว แต่เนื่องจากหุ้นที่ผมเห็นว่าจะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกในเวียดนามในอดีตหลายปีก่อนหน้านั้น  มักจะเป็นหุ้นที่ต่างชาติสนใจและเข้าไปซื้อหุ้นจนติดเพดานการลงทุนเช่น  ถือหุ้นถึง 30% หรือ 50% ของบริษัทไปแล้ว  ทำให้ไม่มีหุ้นซื้อขายในกระดาน  ชาวต่างชาติรายใหม่ที่จะซื้อก็ต้องไปซื้อเป็นบิ๊กล็อตต่อจากคนที่ถืออยู่  และต้องจ่ายราคาที่มี  Foreign Premium บางที 3-40% จากราคาตลาดซึ่งทำให้ผม  “ไม่ยอมซื้อ”

     อย่างไรก็ตาม  ในระยะหลัง  หุ้นซุปเปอร์สต็อกเหล่านั้นบางตัวก็เริ่มมีพรีเมี่ยมลดลงเหลือเพียง 7-10%  ผมจึงเริ่มลงทุนในหุ้นซุปเปอร์สต็อกมากขึ้นแต่ก็ยังไม่มีนัยสำคัญจนกระทั่งมีการจัดตั้ง “กองทุนซุปเปอร์สต็อก” ในตลาดหุ้นเวียดนามขึ้นคือ “ETF ไดมอนด์” ซึ่งถือว่าเป็นกองทุนท้องถิ่นของเวียดนามที่ชาวต่างชาติลงทุนได้อย่างไม่จำกัดและไม่มีพรีเมียม ดังนั้น ผมจึงเข้าไปลงทุนจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญ

     การลงทุนรอบที่ 4 และยังต่อเนื่องถึงปัจจุบันก็คือการลงทุนในหุ้นซุปเปอร์สต็อกเป็นหลักและเป็นการลงทุนในหุ้นรายตัว หุ้นที่เลือกจะเป็นหุ้นที่ผมคิดว่ามีคุณสมบัติครบที่จะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกที่จะเติบโตต่อเนื่องระยะยาว นั่นก็คือ อยู่ในเมกาเทรนด์ เป็นผู้ที่จะชนะและเหนือกว่าคู่แข่งมาก มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน และราคาไม่แพง ซึ่งหุ้นเกือบทุกตัวที่ผมเลือกนั้น ก็อยู่ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมเดียวกับหุ้นที่เป็นหรือเคยเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกในประเทศไทยที่ผมลงทุนมานานเกือบ 20 ปี ผมยังต้องจ่ายพรีเมียมหุ้นอยู่ที่ประมาณ 7% แต่บางตัวก็สามารถซื้อได้โดยไม่มีพรีเมียม และเหตุผลที่ผมเลิกซื้อ ETF ไดมอนด์นั้นเป็นเพราะ หุ้นในกองทุนนั้นมีหุ้นอื่นโดยเฉพาะหุ้นแบงก์ที่ผมไม่คิดว่าเป็นซุปเปอร์สต็อกจำนวนมากรวมอยู่ด้วย

     ถึงวันนี้ พอร์ตหุ้นเวียดนามของผมประกอบไปด้วยหุ้นหลักๆ ที่เป็นซุปเปอร์สต็อกที่มีขนาดใหญ่ประมาณ 6-7 ตัวรวมไดมอนด์ ทั้งหมดรวมกันน่าจะประมาณ 60% ของพอร์ต และหุ้น Defensive ซึ่งก็อาจจะมีโอกาสเติบโตระยะยาวแบบช้าๆได้ น่าจะซัก 15% รวมเป็น 75% ในขณะที่หุ้นขนาดเล็กอีกร้อยกว่าตัวนั้นน่าจะมีสัดส่วนเหลือเพียง 25% การลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามของผมนั้น ไม่ใช่ “ตลาดหุ้นทางเลือก” อีกต่อไป  มันเป็นตลาดหลักอีกแห่งหนึ่ง

     ปีที่แล้วทั้งปี เป็นปีที่ตลาดเวียดนามเติบโตขึ้นมากอานิสงค์จากการเก็งกำไรของนักลงทุนรุ่นใหม่ที่แห่กันเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น คนเป็นล้านๆ ต่างเข้ามาซื้อ-ขายหุ้น จำนวนมากใช้มาร์จินเต็มเพดาน พวกเขาเข้ามาซื้อ-ขายหุ้น โดยเฉพาะที่เป็นหุ้นเก็งกำไรตัวเล็กๆ และหุ้นแนวโภคภัณฑ์ที่เป็นวัฎจักร รวมถึงหุ้นแบงก์กันอย่างหนักทำให้ดัชนีตลาดบวกเพิ่มขึ้นถึง 35%  แต่หุ้นซุปเปอร์สต็อกที่ผมถืออยู่ประมาณ 6-7 ตัว ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียงประมาณ 12.5%  อย่างไรก็ตาม พอร์ตหุ้นโดยรวมของผมซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นตัวเล็กๆ นับเป็นร้อยตัวมีการปรับตัวขึ้นมากจนทำให้พอร์ตเวียดนามของผมปีที่แล้วโตขึ้นถึง 75% กลายเป็นปีทองของพอร์ตหุ้นเวียดนาม

     ตั้งแต่ต้นปีนี้ถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2565 ตลาดหุ้นเวียดนามก็ปรับตัวลงตาม “เทรนด์ของโลก” ที่ดูเหมือนว่ากำลังประสบปัญหาร้ายแรงหลายอย่าง  ดัชนีตลาดหุ้นลดลงมาถึง 14% ไปแล้ว  อย่างไรก็ตาม หุ้นซุปเปอร์สต็อกที่ผมเลือกกลับปรับตัวขึ้นเฉลี่ยถึง 13% อานิสงค์น่าจะมาจากการที่ผลประกอบการในไตรมาศแรกที่ผ่านมาค่อนข้างดีและภาวะทางเศรษฐกิจที่ยังคงดีอยู่และน่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ  และที่ผมคิดว่าสำคัญยิ่งกว่าก็คือ ราคาหุ้นที่ไม่แพง ค่า PE จากกำไรปกติของหุ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 21เท่า ในขณะที่ค่า PE ถ้าคิดไปถึงตอนสิ้นปีน่าจะลดลงไปเหลือเพียง 16-17 เท่า เท่านั้น

     ความรู้สึกลึกๆ ของผมก็คือ  ตลาดหุ้นเวียดนามนั้นอาจจะกำลังมีการปรับตัวอย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกับกรณีของตลาดหุ้นไทยเมื่อสิบกว่าปีก่อน  ที่เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและตามมาด้วยคนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นเร็วมากที่มาพร้อมกับการบริโภคมหาศาล  ซึ่งส่งผลให้บริษัทที่เกี่ยวข้องโดยตรงที่กลายเป็นซุปเปอร์สต็อกเติบโตขึ้นเท่าๆกัน 

     ในอีกด้านหนึ่ง ก็ก่อให้เกิดเงินออมที่พร้อมเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น  จากคนที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งและเพื่อการเกษียณ  และการลงทุนแบบอิงกับปัจจัยพื้นฐานหรือแบบ VI ก็กลายเป็นทางเลือก  ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้หุ้นแบบซุปเปอร์สต็อกเติบโตต่อเนื่องไปยาวนานแบบที่เคยเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยในอดีต







บทความอื่นๆที่น่าสนใจ



RECOMMENDED NEWS

ข่าวหุ้นยอดนิยม

Refresh