กุนซือโลกการเงิน


กุนซือโลกการเงิน หุ้นมีฟอง โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โดย
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

:-
.

หุ้นมีฟอง

โลกในมุมมองของ Value Investor       14 สิงหาคม 64
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร


หุ้นมีฟอง

 

    ผมรู้สึกว่าหุ้นจำนวนมากในตลาดหุ้นไทยในช่วงเร็ว ๆ นี้  มีราคาแพงกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็นวัดจากค่า PE ของ “กำไรปกติ” ของบริษัท  เห็นได้จากการที่หุ้นในดัชนีตลาดหุ้นขนาดเล็ก หรือ sSET และ MAI มีค่า PE เฉลี่ยถึง 47 และ 70 เท่าตามลำดับ และบางเดือนมีค่าเป็น 100เท่า ในขณะที่ดัชนีของหุ้นตัวใหญ่คือ SET50 และ SET นั้นอยู่ที่ไม่เกิน 22 และ 29เท่าตามลำดับ  และนั่นก็คือหุ้นขนาดเล็กโดยทั่วไปมีราคาที่แพงกว่าปกติเมื่อเทียบกับหุ้นขนาดใหญ่

 

    ในส่วนของหุ้นขนาดใหญ่เองนั้น  หุ้นหลายตัวก็มีค่า PE สูงขนาด 40-50เท่าขึ้นไป เมื่อเทียบกับหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันที่ 10-30เท่า โดยที่นักวิเคราะห์มักจะบอกว่าหุ้นตัวเล็กโดยรวมแล้วโตเร็วกว่าหุ้นตัวใหญ่ และเช่นเดียวกัน หุ้นตัวใหญ่บางตัวนั้นโตเร็วกว่าคู่แข่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันมาก  ดังนั้น  มันจึงมีค่า PE ที่สูงกว่ามากได้  แต่สำหรับผมแล้ว  นี่อาจจะเป็นเรื่องของ “จินตนาการ” ที่ใช้ในการอธิบายเรื่องของราคาหุ้นที่ขึ้นไปสูงลิ่วโดยเหตุผลอื่นที่เกี่ยวกับพื้นฐานจริงๆ น้อยมาก  เพราะตามที่ผมสังเกตดู  ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็วมากแต่ละตัวนั้นมักจะเกิดจากเหตุการณ์หรือสถานการณ์บางอย่างซึ่งทำให้ “นักเก็งกำไร” แห่กันเข้าไปซื้อหุ้นจนทำให้ราคาและค่า PE สูงขึ้น  บางตัวสูงมากจนไม่อาจอธิบายได้โดยพื้นฐานของกิจการของบริษัท

 

    ตัวอย่างเช่นเมื่อสัปดาห์ก่อนที่มีการซื้อหุ้นเพื่อควบรวมกิจการของบริษัทโทรคมนาคมขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง  เมื่อมีการซื้อหุ้น  “เปลี่ยนเจ้าของ” เรียบร้อยแล้ว  ราคาหุ้นที่เคยนิ่งมานานมาก  อาจจะเพราะผลประกอบการของบริษัทก็ค่อนข้างทรงตัวมาหลายปีและนักวิเคราะห์ต่างก็มองว่าบริษัท “อิ่มตัว” แล้ว  หุ้นก็วิ่งขึ้นไปเกือบ 15% ใน 2วัน  ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่จะทำให้มูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้นมาก  แต่ในความคิดของผม  ถ้าพื้นฐานยังเหมือนเดิม  ราคาที่เพิ่มขึ้นไปก็เป็นเพียง  “ฟอง” ที่ในที่สุดก็จะ “แตก” แต่เมื่อไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง  และก็เป็นไปได้อีกเช่นกันว่า  ฟองก็อาจจะโตขึ้นไปได้อีก  เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในหุ้นตัวอื่น ๆ  จำนวนมากที่เป็น  “หุ้นมีฟอง” ไปนานแล้ว


    ลองกลับไปดูหุ้นที่มีฟอง  ซึ่งก็คือหุ้นที่มีราคา “แพง” คือมีค่า PE สูงกว่าเพื่อน ๆ ที่อยู่ในอุตสาหกรรมหรือกลุ่มธุรกิจเดียวกันมากอย่างมีนัยสำคัญนั้น  ผมพบว่ามักจะมีคุณสมบัติหรือลักษณะหลาย ๆ อย่างดังต่อไปนี้


    ข้อแรกก็คือ  เป็นหุ้นที่ “มีเจ้าของ” หรือมีผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นบุคคลธรรมดาและโดยเฉพาะเป็นคนที่  “เล่นหุ้น” หรือสนใจและดูแลหุ้นของตนเองเป็นอย่างดี บางคนก็เข้ามาซื้อขายหุ้นของตนเองเป็นระยะๆด้วย พวกเขาบางคนก็มักจะแถลง “ข่าวดี” ของบริษัทอย่างขยันขันแข็งสม่ำเสมอและมักจะ “สร้างความมั่นใจ” ให้กับนักลงทุนว่า บริษัทจะโตอย่างรวดเร็ว และนี่ก็คือหุ้นที่มักจะมีค่า PE ที่สูงกว่าคู่แข่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมหรือกลุ่มเดียวกัน  และถ้ามากกว่ามากก็เรียกว่าเป็น “หุ้นมีฟอง”
    

     หุ้นหลายตัวที่มีค่า PE สูง  “หลุดโลก” เป็นฟองลูกใหญ่มากนั้น  มักจะเป็นหุ้นที่มี Free Float หรือหุ้นที่หมุนเวียนในมือของนักเล่นหุ้นหรือนักเก็งกำไรน้อยเมื่อเทียบกับขนาดของ Market Cap. ของบริษัท  หุ้นแบบนี้ในยามที่ผลประกอบการของบริษัทดีหรือดีมากก็อาจจะถูกนักลงทุนรายใหญ่ “Corner” หรือกวาดซื้อหุ้นจำนวนมากเพื่อ  “ต้อนเข้ามุม” ซึ่งทำให้สามารถขับดันราคาหุ้นขึ้นไปสูงสุดจน “เป็นไปไม่ได้”  และตราบใดที่พวกเขายังไม่ “ออกของ” ราคาหุ้นก็จะสูงอยู่อย่างนั้นได้นานมาก  การที่ Corner จะ “แตก” ก็อาจจะต้องรอจนกระทั่งผลประกอบการเริ่มแย่ลงอย่างมีนัยสำคัญแล้ว  ซึ่งบ่อยครั้งก็กินเวลาเป็นปีหรือหลายปี

 

     หุ้น IPO นั้น  ส่วนใหญ่ก็มักจะมีฟองตั้งแต่เข้าตลาดวันแรก ๆ  อาจจะเนื่องจากเป็นหุ้นที่ยังไม่มีประวัติราคาหุ้นเดิมและโดยธรรมชาติก็มักจะมีฟรีโฟลทต่ำอยู่แล้ว  นอกจากนั้นก็ยังมี “เพื่อน” คือหุ้นที่เพิ่งทำ IPO มาไม่นานและยังมีราคาหุ้นที่แพงคิดจากค่า PE ที่สูงมาก  ดังนั้น หุ้น IPO และหุ้นที่เข้าตลาดมาไม่นานโดยเฉพาะที่เป็นหุ้นขนาดเล็ก  สำหรับผมก็มักจะเป็นหุ้นที่มีฟอง  การลงทุนระยะยาวแบบ VI ที่เน้นถือหุ้นที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับพื้นฐานของกิจการจึงทำได้ยากในหุ้นเหล่านี้

 

     หุ้นที่มี “เซียนหุ้น” หรือ “ขาใหญ่” ในตลาดหุ้นที่มีประวัติ  “เข้าตัวไหนตัวนั้นก็วิ่ง” ก็มักจะมีราคา “แพงเวอร์” ด้วยเหตุที่ว่านักเล่นหุ้นต่างก็จะแห่เข้าไปซื้อตามราวกับว่าเป็น “สัญญาณ” ว่าเขาจะเล่นกัน  ดังนั้น  คนที่จะได้กำไรมากที่สุดก็คือคนที่ “เข้าก่อน”  และเมื่อทุกคนเห็นแบบเดียวกัน  “ทุกคน” ก็เข้ามาแย่งซื้อจนทำให้ราคาพุ่งพรวด  ค่า PE สูงลิ่วบางทีเป็น 40-50 เท่าขึ้นไป  คนที่เข้าไปเก็งกำไรหลายคนก็  “ไม่กลัว” เพราะบ่อยครั้ง  กำไรของบริษัทหลังจากนั้นก็เพิ่มขึ้นจริงอย่างโดดเด่น  ดูราวกับว่า “เซียน” คาดการณ์ดีแล้วจึงเข้าซื้อ  บางทีเซียนอาจจะได้ “ข้อมูลภายใน” จากผู้บริหารหรือเจ้าของว่า  ผลประกอบการจะดีขึ้นมากในงวดหน้าและงวดต่อ ๆ  ไป   เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  กลยุทธ์และแผนการดำเนินงานของบริษัทที่จะทำกำไรเพิ่มก็อาจจะถูกตกลงกันหมดแล้วกับผู้ที่เกี่ยวข้อง  และเมื่อถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนในตลาด  แรงซื้อจะเข้ามาในระดับที่จะ Corner หุ้นได้ด้วย และนี่ก็คือหุ้นมีฟองอีกกลุ่มหนึ่ง

 

     หุ้นสองตัวที่มีกำไรต่อหุ้นเท่ากัน  อยู่ในธุรกิจและอุตสาหกรรมเดียวกันที่ค่อนข้างจะอิ่มตัวแล้ว  มีความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจเท่า ๆ  กัน  แต่บริษัทหนึ่งกำไรอยู่ในช่วง “ขาขึ้น” คือช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมากำไรดีขึ้นตลอดจากการ  “ฟื้นตัว” จากความ “ตกต่ำ” ของบริษัทในช่วงก่อนหน้า ตรงกันข้าม  อีกบริษัทหนึ่งกำไรอยู่ในช่วง  “ขาลง”  กำไรลดลงจากที่เคยดีและสูงกว่าอุตสาหกรรมและอีกบริษัทหนึ่งมาก   ในกรณีนี้  ราคาหุ้นของบริษัทแรกจะวิ่งขึ้นเร็วและต่อเนื่องจนค่า PE สูงลิ่วอาจจะถึง 30 เท่าเพราะนักลงทุนเห็นว่านี่คือหุ้น  “โตเร็ว”  ตรงกันข้าม  หุ้นบริษัทที่สองราคาอาจจะทรงๆ หรือลดลงเนื่องจากที่ผ่านมา 2-3 ปีนั้น  กำไรลดลงตลอด  ค่า PE เหลือเพียง 10 เท่า  Market Cap. เล็กกว่าบริษัทแรกมากทั้ง ๆ  ที่กำไรเท่า ๆ  กัน  เพราะนักลงทุนเห็นว่ามันเป็นบริษัทที่ไม่โต  แต่จริง ๆ  แล้ว  กำไรของบริษัทต่อจากวันนั้นก็คงจะเท่า ๆ  กันไปเรื่อย  เพราะทั้ง 2 บริษัทนั้นจริง ๆ  แล้วความสามารถในการแข่งขันเท่า ๆ  กัน  ในกรณีแบบนี้  หุ้นตัวแรกจะเป็น “หุ้นมีฟอง” ส่วนบริษัทหลังจะเป็น “หุ้นถูก”

 

     หุ้นที่ขายสินค้าหรือบริการที่เป็นโภคภัณฑ์ที่มีวัฏจักรขึ้นลงนั้น  เวลาที่เป็น  “ขาขึ้น” สินค้ามีราคาขึ้นไปมาก กำไรของบริษัทอาจจะขึ้นไป 1 เท่าตัวหรือ 2 หรืออาจจะ 3เท่าตัว และคาดว่ากำไรจะยังทรงตัวต่อไปอีก 1-2 ปี  แต่ราคาหุ้นกลับวิ่งขึ้นไปเป็นทวีคูณเป็น 2 เท่าตัว  หรือ 4 หรือ 6 เท่าตัว แบบนี้ก็ต้องถือว่า “หุ้นมีฟอง” สูงมาก  เหตุผลเพราะว่าภายในเวลา 1-2 ปี  กำไรก็จะกลับมาที่เดิม  สิ่งที่บริษัทจะได้รับจริง ๆ  เพิ่มขึ้นมานั้น  มีค่าเท่ากับกำไรเพียง 2-6 ปีซึ่งอาจจะเท่ากับ 2-6 พันล้านบาทแล้วแต่กรณีถ้ากำไรเดิมของบริษัทเท่ากับปีละ 1 พันล้านบาท  ดังนั้น  Market Cap. ของบริษัทก็ควรจะเพิ่มขึ้นมาแค่นั้น  แต่หุ้นกลับขึ้นไป 2 ถึง 6 เท่าตัวซึ่งเท่ากับมูลค่าที่เพิ่มขึ้น 2 ถึง 6 หมื่นล้านบาท ถ้ามูลค่าหุ้นของบริษัทเดิมคือ 1 หมื่นล้านบาท  ดังนั้น  นี่คือหุ้นที่มีฟองใหญ่มาก  ซื้อไปแล้วในที่สุดหุ้นอาจจะตกกลับลงมาที่เดิมเป็น  “หายนะ” ได้  อย่างไรก็ตาม  หุ้นโภคภัณฑ์ที่ “มีฟอง” นั้น  ก็มักจะเกิดขึ้นจากหุ้นที่มี “เจ้าของ” และหุ้นอาจจะถูก Corner ได้  หุ้นโภคภัณฑ์ตัวใหญ่ ๆ  ที่เป็น  “มหาชน” จริง ๆ  อย่างหุ้นปิโตรเคมีที่เพิ่งประกาศงบไปเมื่อสัปดาห์ก่อนหลายตัวที่มีกำไรเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวนั้น  ราคาหุ้นก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นไปซักเท่าไรซึ่งบ่งบอกว่าเป็นหุ้นที่ “ไม่มีฟอง

 

     การศึกษาหรือวิเคราะห์ว่าหุ้นมีฟองหรือไม่นั้น  นอกจากการดูราคาและ “สตอรี่” ของหุ้นที่มีการพูดถึงในสื่อต่าง ๆ  รวมถึงบทวิเคราะห์แล้ว  สิ่งที่ควรดูประกอบด้วยก็คือระดับของการเก็งกำไรซึ่งวัดจากปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันโดยเฉพาะในช่วงที่หุ้นกำลังวิ่งขึ้นแรงด้วย  ฟัง  อ่าน  ดูแล้วก็อย่าเพิ่งเชื่อ  มีโอกาสสูงที่ทั้งหมดนั้น  มองโลกในแง่ที่ดีเกินไป  หลายคนอาจจะบอกว่า  จะจริงหรือไม่ก็ไม่ใช่ประเด็น  แต่ตราบใดที่คนเชื่อ  ราคาก็จะต้องขึ้นไปเอง  เรามีหน้าที่แค่จะต้องรีบซื้อก่อนและ “ขายทำกำไร” ก่อนคนอื่น  แต่คำเตือนของผมก็คือ  ทุกคนก็อาจจะคิดเหมือนกัน  และอาจจะเป็นไปได้ว่าเราเป็นคนที่มาทีหลังและขายทีหลังและขายขาดทุน  เหตุผลก็คือ  คนที่รู้ก่อนเราก็คือรายใหญ่ที่  “คุมเกม” และ “สร้างราคา” หรือ “เติมฟอง” ให้กับหุ้นก่อนที่เราจะรู้          
 







บทความอื่นๆที่น่าสนใจ



RECOMMENDED NEWS

ข่าวหุ้นยอดนิยม

Refresh