IVL คาดปริมาณการขายในปีนี้ไม่น้อยกว่า 16 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 14.8 ล้านตัน หลังความต้องการใช้เพิ่มสูงขึ้น ส่วนการเข้าซื้อกิจการ " Oxiteno" เตรียมรับรู้รายได้-กำไร ตั้งแต่ไตรมาส 2/65 ยันไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน เหตุยอดขายในรัสเซียคิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.5% ของยอดขายทั้งหมด
นายดีเค อากาวาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจ และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL เปิดเผยในงาน Opportunity Day ว่า บริษัทคาดปริมาณการขายในปีนี้เฉลี่ยรวมอยู่ที่ไม่น้อยกว่า 16 ล้านตันต่อปี เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ 14.8 ล้านต้น จากการเติบโตที่เพิ่มขึ้นมาจาก 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่
ธุรกิจ Combined PET (CPET) ในปีนี้มองว่า ยังสามารถสร้างการเติบโต และ ผลตอบแทนที่ดีได้ จากอุปสงค์ของกลุ่ม PET ที่คาดว่า จะยังคงแข็งแกร่งในอนาคต ประกอบกับ ปริมาณสินค้าคงเหลือที่อยู่ในระดับต่ำ จึงคาดว่จะเป็นอีกปีที่ดีสำหรับกลุ่มธุรกิจนี้
ธุรกิจ Integrated Oxides and Derivatives (IOD) ในปีนี้มองว่า ผลิตภัณฑ์ Downstream ยังคงได้รับประโยชน์จากการเติบโตที่แข็งแกร่งของอุปสงค์ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน และ ผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากการที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญต่อสุขภาพ และ สุขอนามัยหลังจากเหตุการณ์โควิดที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูงในปัจจุบัน รวมถึงความต้องการในตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับเคลือบ (coatings) น้ำมัน และ ก๊าซจะยังคงแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม การเข้าซื้อกิจการ Oxiteno S.A. Indústria e Comércio ในประเทศบราซิล คาดว่า จะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 1/65 คาดว่าจะสามารถสร้างการรับรู้รายได้ และ กำไรจากการลงทุนเข้ามาได้ในไตรมาส 2/65 เป็นต้นไป โดยเบื้องต้นคาดว่า จะมี EBITDA เข้ามาประมาณ 50 ล้านเหรียญสหรัฐต่อไตรมาส หรือ ประมาณ 150 ล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้
ส่วน ธุรกิจ Fibers คาดว่า ในปีนี้จะยังคงได้ประโยชน์จากส่วนต่างกำไรที่เพิ่มขึ้นจากราคาขายอันเนื่องมาจากตลาดที่ตึงตัว และ มีสัดส่วนการขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มที่ดี แม้จะมีราคาพลังงาน และ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการปรับตัวที่ดีขึ้นของผลิตภัณฑ์ Lifestyle และ Mobility
โดยผลิตภัณฑ์ Mobility ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลน semiconductor chip ทั่วทั้งโลก ส่งผลต่ออุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ทำให้การผลิตยานยนต์ใหม่ถูกจำกัด แต่ยังมีความต้องการยางรถยนต์เพื่อเปลี่ยนแทนของเดิม ซึ่งมีปริมาณมากขึ้นทำให้ปริมาณการขายโดยรวมมีแนวโน้มที่ดีขึ้นตลอดจนปริมาณการขายของผลิตภัณฑ์ Lifestyle ก็มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในประเทศอินเดีย และ บราซิล
นอกจากนี้ ในปี 65 บริษัทคาดว่า กลุ่มผลิตภัณฑ์ Hygiene จะได้รับประโยชน์ส่วนเพิ่มจากการลงทุนในโครงการ Gemini ซึ่งเป็นการขยายตลาดในประเทศสหรัฐฯ และ การย้ายฐานการผลิตแห่งหนึ่งไปตั้งอยู่ในประเทศอินเดีย
“ภาพรวมธุรกิจในไตรมาส 1/65 คาดว่าจะเห็นการเติบโตของผลการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ YoY และ QoQ ซึ่งเกิดจากการที่เราขยายการลงทุนในโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงเพิ่มไลน์การผลิต โดยไม่ใช่แค่ผลงานในไตรมาส 1 เท่านั้น แต่ภาพรวมทั้งปีก็จะดีไปด้วยเช่นกัน”นายดีเค กล่าว
สำหรับกรณีควาขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัท เนื่องจากยอดขายในตลาดรัสเซียคิดเป็นสัดส่วน 0.5% ของยอดขายทั้งหมดของพอร์ตรวม และ บริษัทยังควบคุมการบริหารจัดการได้เป็นอย่างดี
|