"ไทยเบฟเวอเรจ" วางงบลงทุนปี 66 รวม 5-8 พันล้านบาท เตรียมรุกธุรกิจ EV ภายใต้กลยุทธ์ Passiom 2025 สร้างธุรกิจใหม่-ต่อยอดธุรกิจเดิม พร้อมอวดผลงาน 9 เดือน รายได้ - กำไรโตแกร่ง
นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หรือ Thai bev เปิดเผยในงานแถลงแผนการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจไทยเบฟฯ ประจำปี 65 ว่า ในปี 66 บริษัทวางงบลงทุนประมาณ 5,000-8,000 ล้านบาท (ต.ค. 65 - ก.ย. 66) ภายใต้กลยุทธ์ Passion 2025 ที่สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และการต่อยอดจากพื้นฐานธุรกิจที่มีอยู่
โดยมีแผนพัฒนาระบบที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในทุกรูปแบบเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะการนำมาพัฒนาระบบโลจิสติกของบริษัท เพื่อช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน หรือ Enabling Sustainable Growth
รวมถึงการลงทุนกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ รวมถึงธุรกิจอาหาร ที่ได้ซื้อกิจการมาก่อนหน้านี้ ส่วนปี 65 รายได้และกำไรของกลุ่มเติบโตขึ้น สะท้อนจากผลงาน 9 เดือนที่ผ่านมา โดยรายได้ 9 เดือนแรกของกลุ่มสิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิ.ย. 65 เพิ่มขึ้น 8.2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วเป็น 207,922 ล้านบาท ซึ่งสูงกล่าวช่วงเดียวกันของ 3 ปีที่ผ่านมา
สำหรับกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) เพิ่มขึ้น 6.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เป็น 39,110 ล้านบาท โดยภาพรวมสถานะการเงินยังมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง และมีเสถียรภาพของกระแสเงินสดอิสระที่ดี และมีความพยายามลดหนี้อย่างต่อเนื่อง
ด้านค่าเงินบาทอ่อนค่านั้นสะท้อนมุมที่ดี และมีความท้าทายกับเศรษฐกิจ เช่น ถ้าค่าเงินบาท ภาคการส่งออกจะเติบโต ภาคการท่องเที่ยวก็ได้รับอานิสงส์ไปด้วย เพราะนักท่องเที่ยวก็จะตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยวง่ายขึ้น แต่ในทางกลับกันภาคธุรกิจที่นำเข้าสินค้า โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เช่น ธุรกิจเบียร์ของไทยเบฟ ที่ต้องนำเข้ามอลต์จากต่างประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต แต่บริษัทได้มีการบริหารจัดการสต๊อก เช่น การสั่งวัตถุดิบล่วงหน้า
ขณะเดียวกัน บริษัทยังดำเนินการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้เราสามารถบริหารความเสี่ยงเหล่านี้ได้ ส่วนธุรกิจสุรานั้นไม่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาท เพราะวัตถุดิบส่วนใหญ่เป็นของในประเทศทั้งหมด
สำหรับกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ มีรายได้จากการขายในช่วง 9 เดือนแรกของปี 65 เป็นจำนวน 12,826 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนทั้งนี้ เป็นผลจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น 8.4% ท่ามกลางการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศไทย โดยกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และ EBITDA เพิ่มขึ้น 5.4% เป็น 1,717 ล้านบาท
โดยช่องทางการบริโภคในร้านอาหารกลับมาฟื้นตัว เนื่องจากผู้บริโภคกลับมารับประทานอาหารในร้านกันอีกครั้ง นอกจากนี้ยังเห็นโอกาสและได้ดำเนินการเพื่อจับกระแสของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพ เช่น การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ZEA Tuna Essence เป็นต้น
ขณะที่กลุ่มธุรกิจอาหาร ประเทศไทย กล่าวว่า ในช่วง 9 เดือนแรก ธุรกิจอาหารมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 38.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 11,990 ล้านบาท เนื่องจากการฟื้นตัวของการบริโภคภายในร้านอาหาร และการขับเคลื่อนการดำเนินกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความสามารถในการเจาะตลาดและเข้าถึงลูกค้ารวมถึงการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานของร้านอาหารในกลุ่มธุรกิจอาหาร ทำให้ธุรกิจมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และ EBITDA เป็นจำนวน 1,578 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 104.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก
สำหรับธุรกิจสุรา กล่าวว่า ปี 65 นี้ ภาพรวมของกลุ่มธุรกิจสุราในประเทศยังคงมีความแข็งแกร่ง และสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดได้ดี โดยผลการวิจัยช่วง 12 เดือนย้อนหลัง แสงโสม สามารถเติบโต 9% ประกอบกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในประเทศไทยฟื้นตัว ซึ่งมีส่วนช่วยให้ตลาดสุรา โดยเฉพาะสุราสีในประเทศไทยปรับตัวดีขึ้น
ส่วนของธุรกิจในมียนมา แม้ว่าสถานการณ์ในเมียนมาช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจะมีความท้าทาย แกรนด์ รอยัล กรุ๊ป ยังมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และสามารถครองตำแหน่งวิสกี้อันดับหนึ่งในเมียนมาไว้ได้ รวมถึงมีเสถียรภาพของกระแสเงินสดที่ดี
ด้านผลประกอบการของธุรกิจเบียร์มีการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งทั้งในไทยและเวียดนาม โดยรายได้จากการขายของกลุ่มธุรกิจเบียร์เพิ่มขึ้น 15.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 92,573 ล้านบาท โดยมีกำไร 13,446 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.5% ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณขายและส่วนประสมของผลิตภัณฑ์ที่เอื้ออำนวย รวมถึงการขึ้นราคาและมาตรการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
|