"สก็อตต์ เบสเซนท์" รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เผยว่า สิ่งที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้ความสำคัญในแง่ของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนั้น คือ การลดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีลด์) อายุ 10 ปี มากกว่าดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
"เบสเซนท์" ให้สัมภาษณ์กับ Fox Business หลังสื่อถามว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ ต้องการให้อัตราดอกเบี้ยลดลงหรือไม่ โดยรมว.คลังสหรัฐฯ เผยว่า ตนเองและทรัมป์ให้ความสำคัญกับพันธบัตรรัฐบาล อายุ 10 ปี และกล่าวด้วยว่า ตัวประธานาธิบดีเองนั้นก็ไม่ได้เรียกร้องให้เฟดลดดอกเบี้ย ขณะเดียวกัน เบสเซนต์ ยังย้ำมุมองของตนเองว่า การเพิ่มอุปทานด้านพลังงานจะช่วยลดอัตราเงินเฟ้อ โดยเฉพาะชนชั้นแรงงานชาวอเมริกันนั้น ปัจจัยด้านพลังงานเป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนที่สุดในการคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะยาว
“หากเราสามารถลดราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันเตาลงได้ ไม่เพียงแค่ช่วยให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้ลดรายจ่ายเท่านั้น แต่ยังช่วยให้กลุ่มนี้กลับมาฟื้นตัวได้ในอนาคต หลังเผชิญภาวะเงินเฟ้อสูงในช่วงปีที่ผ่าน ๆ มา” เบสเซนท์กล่าว
สำหรับประเด็นเรื่องเฟดนั้น “ผมขอพูดเฉพาะสิ่งที่เฟดได้ทำไปแล้วเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่คิดว่า เฟดควรทำหลังจากนี้” โดยรมว.คลัง ระบุว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล อายุ 10 ปี ยังคงพุ่งสูงขึ้น แม้เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% เมื่อเดือนก.ย. ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดเป็นเกณฑ์อ้างอิงสำหรับตลาดการเงิน ขณะที่พันธบัตรรัฐบาล อายุ 10 ปี ใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงสำหรับอัตราดอกเบี้ยจำนอง ประเภท 30 ปี ร่วมกับอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่สำคัญอื่นๆ โดยบอนด์ยีลด์ อายุ 10 ปี ปิดทำนิวโลว์ของปีนี้เมื่อคืนที่ผ่านมา หลังจากสหรัฐฯ รายงานกิจกรรมภาคบริการที่อ่อนแอ ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลแทบไม่ขยับในการซื้อขายฝั่งเอเชีย หลังการแสดงความเห็นของรมว.คลังสหรัฐฯ
“ตลาดพันธบัตรเริ่มรับรู้ว่า ภายใต้รัฐบาลของทรัมป์ ราคาพลังงานจะลดลง และเราจะเติบโตโดยไม่ก่อให้เกิดเงินเฟ้อ” ซึ่งเบสเซนต์อ้างถึงการลดลงของผลตอบแทนพันธบัตรในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา “เราลดการใช้จ่าย ลดขนาดของรัฐบาล เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเราจะเข้าสู่วัฏจักรอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม”
ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถกำหนดทิศทางผลตอบแทนพันธบัตรได้ โดยพิจารณาว่าจะออกพันธบัตรที่มีอายุครบกำหนดไถ่ถอนในระยะเวลาใด และบริหารความจำเป็นที่ต้องกู้ยืมโดยควบคุมการขาดดุล
ที่มา Bloomberg

|