สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า กรมศุลกากรญี่ปุ่น เปิดเผยตัวเลขการนำเข้าสินค้า เดือน ก.ค. ุ อยู่ที่ 10.1 ล้านล้านเยน (7.6 หมื่นล้านดอลลาร์) เพิ่มขึ้น 47.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ที่มีมูลค่า 6.92 ล้านล้านเยน ขณะที่ตัวเลขส่งออกส่งออกประจำเดือน ก.ค.มีมูลค่า 8.75 ล้านล้านเยน (6.52 หมื่นล้านดอลลาร์) เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่มี มูลค่า 7.35 ล้านล้านเยน ทำให้ญี่ปุ่นขาดดุลการค้า 1.44 ล้านล้านเยน (1.07 หมื่นล้านดอลลาร์) นับเป็นการขาดดุลการค้าต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 ติดต่อกัน
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตัวเลขการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นและการอ่อนค่าลงของค่าเงินเยน ผลักดันให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นตามมา โดยมูลค่าการนำเข้าสินค้าประเภท น้ำมันดิบ ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติเหลว เพิ่มขึ้น 45.7% ในเดือนก.ค.
Koya Miyae นักเศรษฐศาสตร์จาก SMBC Nikko Securities Inc. กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นในเดือน ก.ค. ขณะที่การอ่อนค่าลงของค่าเงินเยนได้ทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าลดลง ซึ่งญี่ปุ่นยังคงต้องพึ่งพาพลังงานและอาหารจากต่างประเทศแม้มีต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่การส่งออกของญี่ปุ่นกลับชะลอตัว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ของจีน แม้จะได้แรงหนุนจากการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้น 13.8% และการส่งออกสินค้าที่ไปยังยุโรปที่เพิ่มขึ้น 31.6% ก็ตาม
ทั้งนี้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นเพิ่งหลุดพ้นจากภาวะถดถอย หลังผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่ 2/2022 ขยายตัว 5.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามนายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ ได้สั่งการให้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อบรรเทาผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อและกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาวต่อไป
|