สรุปประเด็นจากงาน BETTER TRADE 2023 “กวี ชูกิจเกษม” มองดัชนีหุ้นไทย 5 ปีข้างหน้าแตะ 2,000 จุด แนะหุ้น Growth Stock ที่ไทยมีเสน่ห์ พร้อมแนะนักลงทุนเข้าใจกลไกตลาด 3 ด้าน คือ ตลาดหุ้นโตตามกำไร-กำไรมันมีวงจรของมัน-ชินกับการลงทุนในตลาด
นายกวี ชูกิจเกษม Head of Research and Content บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในงาน BETTER TRADE 2023 ช่วง Growth Stock สุดยอดหุ้นเติบโต ว่า ตลาดหุ้นไทยหลังจากต้มยำกุ้งปี 40 มีเหตุและมีผลมากขึ้น ซึ่งถือเป็นข้อดีของตลาดหุ้นไทย โดยหากมองย้อนกลับไปในหลาย 10 ปี จะพบว่า สุดท้ายแล้วระยะยาวตลาดหุ้นก็จะขึ้นลงตามกำไรสุทธิของบริษัท โดยมองว่าราคาหุ้นระยะยาวจะมีความสัมพันธ์กับกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในตลาด และยังเชื่อว่าบริษัทใหญ่ๆ ในประเทศไทยยังสามารถที่จะทำกำไรเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ แต่ไม่ได้เยอะเหมือนเมื่อก่อน ดังนั้นอย่าเพิ่งไปให้ร้ายตลาดหุ้นไทยมากจนเกินไป
“วันนี้ไม่มีอะไรที่ทำให้กำไรสุทธิโต ดังนั้น วันนี้คนพยายามหากำไรบนความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งตลาดก็มีความเสี่ยง แต่ทุกคนก็พยายามหากำไรแบบเล็กๆน้อยๆ และนี่คือสิ่งที่เคยเกิดขึ้นตอนก่อนวิกฤติซัพไพร์ม”นายกวี กล่าว
ขณะที่ความผันผวนของตลาดหุ้นไทยมองว่าเป็นเรื่องปกติ โดยมองกลับไปตั้งแต่ปี 2518 จนถึงปัจจุบัน พบว่า ตลาดหุ้นเมื่อปรับลดลงแล้วก็จะขึ้นในที่สุด โดยจากข้อมูล จะพบว่า ปีที่หนักที่สุดคือวิกฤติต้มยำกุ้งที่ทำให้ตลาดหุ้นปรับลดลงติดต่อกัน 5 ปีซึ่งถือว่าเป็นระดับที่มากที่สุดเท่าที่เคยเห็น แต่หลังจากปี 2541 เป็นต้นมา จะพบว่า ไม่มีครั้งไหนที่หุ้นจะร่วงติดต่อกันเกิน 2 ปีติดต่อกัน สำหรับปีนี้ยอมรับว่ามีโอกาสที่ตลาดหุ้นจะปิดติดลบแน่นอน
“ที่ผ่านมาตลาดหุ้นเจอวิกฤติมามากมาย โดยต้มยำกุ้งหนักสุด ปิดไป 58 ไฟแนนซ์ ประชาชนแห่ถอนเงินจากสถาบันการเงิน มีเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งเซอร์กิตเบรกเกอร์ ล่าสุดมีสถานการณ์โควิด-10 ที่ตลาดร่วง แต่วิกฤติทุกครั้งที่ผ่านมาไม่ว่าคุณจะอยู่ตลาดไหน หรือจะโทษใครที่ทำให้เกิดวิกฤติ เกิดการพลาด เกิดความประมาท หรือสงคราม ดอกเบี้ยขึ้น สินเชื่อกลายเป็นหนี้เสียมหาศาล แต่ปรากฏว่าสุดท้ายแล้วตลาดหุ้นก็กลับมาอยู่ดี ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย เช่น ตอนต้มยำกุ้งใครจะคิดว่าตลาดหุ้นไทยขึ้นไปทำ High ที่ 1,789 กว่าจุด และปรับตัวลดลงมา”นายกวี กล่าว
สำหรับตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2518 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 6.5% ไม่รวมปันผล แต่หากรวมปันผล 9.7% ต่อปี โดยมีหลายบริษัทที่ให้ผลตอบแทนที่ดีและสม่ำเสมอ เช่น LH แม้ราคาจะไม่ไปไหน แต่ยังให้ผลตอบแทนในระดับสูง โดยจ่ายปันผล 6-8 บาทต่อหุ้นต่อปี เป็นต้น
“ที่ผ่านมาหุ้นไม่ไปไหนเลย มันเป็นเพราะว่าเราไปซื้อหุ้นผิด อย่าไปโทษตลาด เช่น เราไปซื้อ MORE STARK ถ้าเราซื้อหุ้นที่มันไปเรื่อยๆ อย่างน้อยเราได้ปันผล เพราะเค้าไม่หยุด เวลาเกิดวิกฤติอย่ากลัว ต้องใจเย็นๆ ทุกวิกฤติมันเกิดขึ้น และมีใครบ้างที่ไม่เคยเกิดวิกฤติในชีวิต สุดท้ายมันก็ผ่านไปได้ ถึงเวลามันก็ผ่านไป”นายกวี กล่าว
นายกวี กล่าวว่า สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐความผันผวนก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่สุดท้ายเฉลี่ยต่อปีก็ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ดังนั้นสิ่งที่อยากให้นักลงทุนเข้าใจ คือ 1.ตลาดหุ้นโตตามกำไร 2.กำไรมันมีวงจรของมัน 3.นักลงทุนจะหมดกำลังใจเมื่อตอนที่เศรษฐกิจมันแย่ ตลาดหุ้นมันจะลง และมันเกิดขึ้นทุกรอบ ดังนั้นทุกคนต้องชินกับการลงทุนในตลาดหุ้น สิ่งเดียวที่ต้องหา คือ จะหา Growth Stock
“หุ้น Growth Stock ในไทย ยอมรับว่าหาค่อนข้างยาก เพราะเศรษฐกิจไทยไม่สามารถโตได้เยอะเหมือนที่ผ่านมา แต่จะสามารถเลือกโตได้ในบางอุตสาหกรรม”นายกวี กล่าว
นายกวี กล่าวว่า มองตลาดหุ้นไทยวันนี้ที่ระดับ 1,400 จุด แต่มองในระยะข้างหน้า หรือ ประมาณ 5 ปี คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะขึ้นไปแตะที่ระดับ 2,000 จุดได้
“หากมองในอีก 10 ปีข้างหน้า สมมติเศรษฐกิจไทยโต 2% เงินเฟ้อ 1% เงินปันผล 3% รวมกัน 6% ตลาดหุ้นไทยควรโตปีละ 6% นั่นหมายถึงตลาดหุ้นไทยควรโตไปถึง 2,500 จุด ดังนั้นถ้ามองภาพแค่ตอนนี้ ตลาดหุ้นไทยที่ 1,400 จุด แต่ในช่วง 5 ปีข้างหน้าจะแตะที่ระดับ 2,000 จุดได้ ต่อให้วันนี้ลงไปที่ 1,200 จุดก็ตาม”นายกวี กล่าว
สำหรับหุ้นแนะนำ เน้นเลือกอุตสาหกรรมที่ไทยมีเสน่ห์โดยตัวของมันเอง เช่น โลจิสติกส์ ท่องเที่ยว อุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกับแผนส่งเสริมรถ EV แผนพลังงานแห่งชาติ รวมถึงอุตสาหกรรมที่ไทยมีความโดดเด่น เช่น Tourism Hub Medical Hub และโครงการ Landbridge จะทำให้ไทยเป็น Logistic Hub โดยทยอยซื้อในตอนที่หุ้นปรับลดลง
Logistic and EV Hub เลือก WHA , AMATA , KCE และ CPALL
Renewable Hub เลือก BGRIM , GPSC
Tourism Hub เลือก AOT , CENTEL และ CPN
Medical Hub เลือก BDMS , BH |