สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (16 พ.ค.) ที่ระดับ 32,223.42 จุด เพิ่มขึ้น 26.76 จุด หรือ +0.08% ดัชนี S&P500 ปิดที่ระดับ 4,008.01 จุด ลดลง 15.88 จุด หรือ -0.39% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ระดับ 11,662.79 จุด ลดลง 142.21 จุด หรือ -1.20%
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดในแดนบวก ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของหุ้นในกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันดิบสัญญาเวสต์เท็กซัส (WTI)ได้เพิ่มขึ้นทะลุระดับ 110 ดอลลาร์/บาร์เรล เมื่อคืนที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาหุ้นเชฟรอน เพิ่มขึ้น 3.06% หุ้นเอ็กซอน โมบิล เพิ่มขึ้น 2.35% และหุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ เพิ่มขึ้น 2.98%
อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P500 และ ดัชนี Nasdaq ปิดในแดนลบ หลังสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) ได้เปิดเผยตัวเลขค้าปลีกประจำเดือนเม.ย.ลดลง 11.1% แย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลง 6.1% ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลง 2.9% น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% และอัตราว่างงานของจีนอยู่ที่ระดับ 6.1% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ. 2020
จากตัวเลขเศรษฐกิจจีนในเดือนเม.ย.ได้ทำให้หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีลดลง โดยหุ้นแอมะซอน ลดลง 1.99% หุ้นแอปเปิล ลดลง 1.07% และหุ้นทวิตเตอร์ ลดลง 8.1%
ทั้งนี้ นักลงทุนต้องจับตายอดค้าปลีกของสหรัฐฯในเดือนเม.ย.ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์นี้ รวมถึงการเปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 1/2022 ของบริษัทค้าปลีกชั้นนำของสหรัฐฯ อย่าง วอลมาร์ท และ ทาร์เก็ต ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์นี้
|