สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดตลาดเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (26 ม.ค.) ที่ระดับ 34,168.09 จุด ลดลง 129.64 จุด หรือ -0.38% ดัชนี S&P500 ปิดที่ระดับ 4,349.93 จุด ลดลง 6.52 จุด หรือ -0.15% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ระดับ 13,542.12 จุด เพิ่มขึ้น 2.82 จุด หรือ +0.02%
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดในแดนลบ เป็นผลมาจากการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้เปิดเผยว่า เฟดพร้อมที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยโดยไม่ส่งผลกระทบกับตลาดแรงงานภายในประเทศ แต่ไม่สามารถปฎิเสธได้ว่าเฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% เมื่อพิจารณาจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นแตะระดับ 7.0% ในเดือน ธ.ค.2565
โดยในการประชุมที่มีขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมาตามเวลาในประเทศไทย เฟดได้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.00-0.25% และมีมติปรับลดลงวงเงินซื้อพันธบัตรในมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) จำนวน 3 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.พ.65 ซึ่งจะทำให้เฟดสิ้นสุดการใช้มาตรการ QE ในเดือน มี.ค.65 ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้้ยนโยบายครั้งแรกของปีนี้
จากผลการประชุมของเฟดและความเคลื่อนไหวของนายพาวเวลในครั้งนี้ได้ทำให้หุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ปรับลดลง 1.66% ขณะที่หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี ปรับเพิ่มขึ้น หลังบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ได้เปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 4/2564 ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้โดยราคาหุ้นอินเทล เพิ่มขึ้น1.35% และหุ้นไมโครซอฟท์ เพิ่มขึ้น 2.85%
ทั้งนี้ นักลงทุนต้องจับตาไปที่สถานการณ์ทางการเมืองของรัสเซียและยูเครน หลังรัฐบาลรัสเซียประกาศว่า พร้อมที่จะเพิ่มกำลังทหารและยุทโธปกรณ์เข้าไปในคิวบาและเวเนซุเอลา หากสหรัฐฯและชาติพันธมิตรปฏิเสธข้อเสนอของรัสเซีย ที่ต้องการให้ องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (NATO) ปฎิเสธการขอเข้าเป็นสมาชิกของยูเครนและกลุ่มประเทศอดีตสหภาพโซเวียต รวมถึงเรียกร้องให้สหรัฐฯถอนกำลังทหารออกจากประเทศที่เป็นส่วนหนึ่งของอดีตสหภาพโซเวียตทั้งหมด
|