“พรีเมียร์ควอลิตี้สตาร์ช (PQS)” เคาะราคาขาย IPO ที่ 6 บาท/หุ้น เปิดจองซื้อ 7-9 ก.พ. และ คาดเข้าเทรด SET ภายในก.พ. นี้ ลุ้นรายได้ปี 67 โตก้าวกระโดด หลังกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 70%
นายธีรฉัตร ศิลปสนธยานนท์ ผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย บริษัท พรีเมียร์ควอลิตี้สตาร์ช จำกัด (มหาชน) หรือ PQS เปิดเผยว่า PQS ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ราคา 6 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาที่เหมาะสม สะท้อนพื้นฐานและศักยภาพการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการผลิตแป้งมันสำปะหลังรายใหญ่ของประเทศไทย พร้อมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นในระหว่างวันที่ 7-9 ก.พ.66 โดยคาดว่าจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนและซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ภายในเดือน ก.พ.นี้
ทั้งนี้ PQS จะเปิดขายหุ้น IPO จำนวน 170 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท คิดเป็น 25.37% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขาย โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่าจำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ซึ่งร่วมกับผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด
นายเสกสรรค์ ธโนปจัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟิน พลัส แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า จุดเด่นของ PQS คือ การสร้างความแตกต่างในผลิตภัณฑ์ ได้แก่ การผลิตแป้งมันสำปะหลังเกรดพรีเมี่ยมรวมถึง PQS มีการขายแป้งมันสำปะหลังที่มีคุณภาพ เน้นการให้บริการที่รวดเร็วและทันท่วงที ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ตรงจุด สอดคล้องกับความสามารถในการหาลูกค้ารายใหม่และเพิ่มยอดขายสำหรับลูกค้าเดิมช่วยสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าในด้านคุณภาพและบริการ จึงสร้างคู่ค้าทางธุรกิจ เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน
รวมถึงการที่ PQS มีทีมผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจมาเป็นเวลานาน ทำให้สามารถต่อยอดการดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนและสร้างการเติบโตในด้านผลการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง
ในปี 67 คาดรายได้เติบโตก้าวกระโดด หลังกำลังการผลิตโดยรวมเพิ่มขึ้นอีก 70% ขณะที่แนวโน้มอุตสาหกรรมอาหารยังเติบโต 3-5% ในระยะ 3 ปีนี้ เป็นโอกาสดีที่ขยายกำลังการผลิต ด้านตลาดต่างประเทศค่อนข้างดี โดยบริษัทส่งออกไปประเทศจีนเป็นส่วนใหญ่
“มั่นใจเข้าเทรดช่วงเดือนก.พ.ตลาดอยู่ใน Sentiment ที่ดี” นายเสกสรรค์ กล่าว
นายสมยศ ชาญจึงถาวร ประธานกรรมการบริหาร PQS เปิดเผยว่า การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ PQS จะเพิ่มความแข็งแกร่งด้านฐานะทางการเงิน เพิ่มขีดความสามารถในการขยายธุรกิจ ขับเคลื่อนการเติบโตขององค์กร และส่งเสริมศักยภาพการขยายธุรกิจแป้งมันสำปะหลังและธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพที่มีแนวโน้มเติบโตสูง
PQS มีความพร้อมสำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของบริษัทฯ ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจผลิตและจำหน่ายแป้งมันสำปะหลัง (Native Starch), แป้งมันสำปะหลังดัดแปร (Modified Starch) และแป้งแปรรูปอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ทั้งส่วนอุตสาหกรรมอาหาร (Food Grade) และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแปรรูปอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอาหาร (Industrial Grade) โดยจัดจำหน่ายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ (Biogas) เพื่อใช้ในโรงงาน และจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
นายรัฐวิรุฬห์ ชาญจึงถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PQS เปิดเผยว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ จะใช้เป็นเงินลงทุน เพื่อสร้างโรงงานแป้งมันสำปะหลัง และลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าไบโอแก๊ส รวมถึงใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน เพื่อให้สอดคล้องกับแผนเติบโตของบริษัทฯ โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ ผลิตและจำหน่าย แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ 1. ผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลัง (Tapioca) เป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปจากหัวมันสำปะหลัง และ 2. การผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ (Biogas)
โดยงวด 9 เดือนแรกในปี 65 มีสัดส่วนการผลิตและจำหน่ายแป้งมันสำปะหลัง และการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพในสัดส่วน 98.53% และ 1.47% ตามลำดับ
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย (ปี 62- 64) มีรายได้รวม 1,255.70 ล้านบาท, 1,282.05 ล้านบาท และ 2,254.03 ล้านบาทตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 65.75 ล้านบาท, 82.09 ล้านบาท และ 313.82 ล้านบาทตามลำดับ ขณะที่ผลการดำเนินงาน 9 เดือนในปี 65 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้รวม 1,757.57 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 211.36 ล้านบาท สะท้อนถึงการเติบโตที่แข็งแกร่ง และยั่งยืน
|