สภาพตลาดคริปโทที่ย่ำแย่ บวกกับขาดทุนจากการด้อยค่า Bitcoin ในงวดครึ่งปีแรก แต่นั่นไม่ได้ทำให้บริษัทผู้มาก่อนกาลอย่าง "BROOK" ถอดใจจากอุตสาหกรรมบล็อกเชนและคริปโทเคอร์เรนซีเลย!
BROOK ย้ำชัด! ยังคงปักหลักจักรวาล Crypto เตือนนลท.บริหารความเสี่ยงให้ดีๆ-ไม่กู้ลงทุน ปลื้มรายย่อยถือหุ้นเฉียด 30,000 จาก 4,000 ปีก่อน พร้อมเผยฝันใหญ่! อยากสร้าง Exchange ที่เชื่อมต่อตลาดซื้อขายได้ทั่วโลก
ผู้บริหาร BROOK ยืนยันจะยังคงเดินหน้าธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการเงินและด้านธุรกิจ ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของบริษัท โดยหันมามุ่งเน้นในฝั่ง “การเงินโลกสินทรัพย์ดิจิทัล” ด้วย เพราะใช้ระยะเวลาในการสร้างรายได้เพียง 3-6 เดือนถือว่าเร็วเมื่อเทียบโลกการเงินแบบปัจจุบันที่แต่ละดีลใช้เวลาหลักปี
*ข่าวที่เกี่ยวข้อง : BROOK แจงงบครึ่งปี มีบันทึกขาดทุนสินทรัพย์ดิจิทัล 434 ล้านบาท
"เอ็ดดี้" วริศ บูลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายสินทรัพย์ดิจิทัล บริษัท บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BROOK เปิดใจแบบละเอียดในรายการ Shrimp Talk สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย เมื่อวันจันทร์ที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา
แม้ตลาดจะอยู่ในช่วงขาลง ซึ่งผู้คนอาจจะมองว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนอาจจะใช้ไม่ได้แล้ว แต่จริงๆ สาเหตุที่ตลาดย่ำแย่มันมาจากการกู้เงินในระบบที่สูง ประกอบกับเหตุการณ์ Terra/LUNA มาสมทบซึ่งเป็นเหตุการณ์เฉพาะตัวเพียงแค่โปรเจกต์เดียว ไม่ได้หมายความว่าอุตสาหกรรมบล็อกเชนจบแล้ว
“ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ Terra/LUNA ล่มสลาย เราก็ยังเห็นเงิน VC ไหลเข้ามาในตลาดคริปโทไม่หยุด ลงในบริษัทสตาร์ทอัพ ธุรกิจด้านความปลอดภัยไซเบอร์ เรียกว่าลงในโครงสร้างของระบบคริปโทไม่หยุด รวมถึงในเมตาเวิร์ส แปลว่าทุกคนมองว่าเทคโนโลยีนี้มันใช้ได้อยู่ดี เพียงแต่ว่าระหว่างทางต้องผ่านการเรียนรู้” วริศ กล่าว
***ซื้อ Bitcoin ลงทุนยาว ไม่กังวลช่วงราคาตก เพราะไม่ได้ใช้เงินกู้มาซื้อ
การเข้าลงทุนโดยตรงใน Bitcoin ใช้เงินทุนของบริษัทเองไม่ใช่การกู้ยืมเงินมาลงทุน ทั้งนี้ ก็เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต อย่างเช่น การถูกบังคับขายสินทรัพย์ เป็นต้น ซึ่งต่างจากบริษัทในต่างประเทศที่เข้าลงทุนโดยตรงใน Bitcoin อย่าง MicroStrategy ที่ใช้การกู้ยืมเป็นหลักซึ่งจะมีความเสี่ยงมากกว่า
MicroStrategy เชื่อใน “Bitcoin” แบบสุดลิ่มทิ่มประตูในฐานะที่เป็น “แหล่งเก็บรักษามูลค่า” และมีจำนวนจำกัด โดยเป็นปฏิปักษ์กับเงิน Fiat ที่นับวันมูลค่าจะลดลง ต่างจาก BROOK หรือบริษัทอื่นๆ ซึ่งเชื่อว่า “บล็อกเชน” เปลี่ยนพฤติกรรมคน เช่น Live ขายของออนไลน์จ่ายเป็น Crypto ได้ แค่นี้ธุรกิจก็ขยายเป็นร้อยเท่าแล้ว หรือเฟซบุ๊กเชื่อในเมตาเวิร์ส แต่ MicroStrategy เชื่อใน “Bitcoin” อย่างเดียว
สาเหตุที่ BROOK ตัดสินใจเข้าสู่โลกคริปโท ด้วยการลงทุนโดยตรงใน Bitcoin ในต้นปี 2021 ราวพันล้านบาท เพื่อเป็นการแสดงความมั่นใจว่า BROOK เข้าสู่โลกคริปโทเคอร์เรนซีแล้ว และมีเป้าหมายหลักคือการสร้างตัวตนในโลกคริปโท เพื่อจะได้เข้ามามีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมนี้เป็นกลุ่มแรกๆ
ดังนั้น ต้องใช้การสร้างพันธมิตรที่เป็นผู้เล่นรายใหญ่ซึ่งจำเป็นมากในการที่จะทำให้ BROOK เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และก็ประสบผลสำเร็จ เพราะขณะนั้นสื่อตีข่าวทั้งในไทยและในต่างประเทศว่า BROOK คือรายแรกในตลาดหุ้นไทยที่เข้าซื้อ Bitcoin
“เราหวังจะได้เข้ามาเป็นกลุ่มแรกๆ ในวงการคริปโท และไม่ได้สนใจแค่ Bitcoin แต่มองว่าบล็อกเชนน่าสนใจยิ่งกว่าจึงได้กระจายลงทุนในเหรียญอื่นๆ ด้วย รวมถึงโปรเจกต์ต่างๆ DeFi NFT GameFi ฯลฯ เพื่อเข้ามาเรียนรู้ในระบบนิเวศของคริปโทเคอร์เรนซี” วริศ ระบุ
*** “คริปโทเพย์เมนต์” คือประเด็นใหญ่ที่จะสร้าง Network Effect
เรื่องการยอมรับบล็อกเชน มองว่าไม่มีใครสงสัยในเทคโนโลยีนี้แล้ว มันใช้ได้จริง ถูกนำมาใช้ในหลายประเทศโดยเฉพาะประเทศโลกที่สาม เช่น การส่งเงินกลับบ้าน แทนที่จะโอนเงินกลับบ้าน โอนได้ทันทีเสียค่าโอนสิบบาทจากหลักพันบาท แต่การใช้งานยังไม่แพร่หลายในวงกว้าง ยังไม่ใช่ว่าเปิดมือถือมาแล้วใช้ได้แต่เทคโนโลยีมันทำได้แล้ว เพียงแต่ต้องรอระยะเวลา ทั้งกติกาของหน่วยงานกำกับ หรือความเข้าใจของผู้ใช้งาน ไม่ต่างกับรถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องใช้เวลาในการเกิด Network Effect “การชำระเงินด้วยคริปโท” คือประเด็นใหญ่ที่จะสร้าง Network Effect ให้กับเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโทเคอร์เรนซี ผู้คนจะต้องมีความรู้ความเข้าใจคริปโท บล็อกเชน มีแอปพลิเคชันที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ และหน่วยงานกำกับยอมรับให้ใช้งานได้ สิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลาหลายปี แต่มองว่าอาจจะเห็นภายใน 1-2 ปีนี้ เพราะ ธปท.ก็เริ่มวางแผนที่จะทดลองใช้ “เงินบาทดิจิทัล” ในปลายปีนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีและส่งสัญญาณถึงการยอมรับในเทคโนโลยี และการประยุกต์ใช้กับระบบการชำระเงิน
***เทรนด์ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2022 และในปี 2023
เทรนด์ที่ชัดเจนตอนนี้มี 2 เรื่องคือ 1.ระบบความปลอดภัยในโลกคริปโท และ 2.แอปพลิเคชันที่ทำให้คนใช้งานบล็อกเชนได้ง่ายขึ้น เช่น วอลเล็ตคริปโท ถ้าแก้ปัญหาให้คนเชื่อใจและใช้งานง่ายก็จะสามารถเปลี่ยนโลกคริปโทได้เลย
นอกจากนี้ มองว่า DeFi จะยังสามารถพัฒนาต่อไปได้ และบล็อกเชนเลเยอร์ 1 อย่าง Ethereum, Binance Smart Chain ,Solana จะมีนักพัฒนาเข้ามาใช้งานมากขึ้นโดยเฉพาะ Binance Smart Chain ซึ่ง BROOK มีความใกล้ชิดเป็นพิเศษพบว่า ได้เข้าไปลงทุนในโปรเจกต์เลเยอร์ 1 จำนวนมากและใส่เงินทุนเข้าไปจำนวนมหาศาล ดังนั้น จะมีแอปใหม่ๆ เกิดขึ้นเรื่อยๆ และ BSC ก็จะได้ประโยชน์และ BNB น่าจะเป็นเหรียญที่คนจับตาดู รวมทั้งผู้คนยังจับตา Ethereum ที่เพิ่งผ่านการอัปเกรด The Merge เป็น PoS จะมีนักพัฒนาเข้ามาใช้งานมากขึ้นแค่ไหน
***นักลงทุนรายย่อยเพิ่มเฉียด 30,000 ราย จากปีก่อน 4,000
ผู้ลงทุนรายย่อยในหุ้น BROOK เพิ่มขึ้นจากประมาณ 4,000 ราย เป็นเกือบ 30,000 รายในปัจจุบัน นับตั้งแต่ที่บริษัทฯ ประกาศกลยุทธ์ขยายธุรกิจสู่โลกสินทรัพย์ดิจิทัลควบคู่กับธุรกิจหลักดั้งเดิม คือ การเป็นที่ปรึกษาด้านการเงิน สาเหตุอาจเนื่องมาจาก BROOK เป็นบริษัทเดียวในตลาดหุ้นที่มีความชัดเจนมากที่สุดในด้านการเข้ามาเชื่อมกับสินทรัพย์ดิจิทัลทุกภาคส่วน ท้ังการเป็น VC เพื่อเข้าสนับสนุนโปรเจกต์คริปโท บล็อกเชน รวมถึงการที่บริษัทเข้าลงทุนเองโดยตรงในโปรเจกต์ต่างๆ ทั้ง DeFi NFT GameFi ฯลฯ และต่อให้ธุรกิจคริปโทล่มสลาย BROOK ยังมีขาหลัก คือที่ปรึกษาการเงินในโลกดั้งเดิม แต่มองว่าเป็นไปได้ยากที่อุตสาหกรรมจะล่มสลาย เพราะถ้าล้มจริงนี่คือวิกฤตระดับโลกที่กระทบผู้เล่นรายใหญ่ในวงการการเงินดั้งเดิมด้วย เพราะระยะหลังทยอยกระโดดเข้ามาในวงการนี้กันแล้ว
***โครงสร้างรายได้ในอนาคตระหว่างโลกเก่า โลกใหม่
ธุรกิจหลักยังเป็นที่ปรึกษาเนื่องจากทำมานานมีความเชี่ยวชาญ และมีความน่าเชื่อถือสูง แต่การจะแบ่งแยกโครงสร้างรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาทั้งในโลกเก่าและโลกใหม่อย่างสินทรัพย์ดิจิทัลแทบจะไม่สามารถแยกได้ เพราะลูกค้าที่เป็นบริษัทในตลาดหุ้นก็อยากทำโปรเจกต์คริปโท
“บางทีมันก็โลกเดียวกัน เราก็ไม่รู้จะแยกรายได้ที่ปรึกษาอย่างไรระหว่างโลกดั้งเดิมกับโลกสิน ทรัพย์ดิจทัล เพราะบางทีก็เป็นลูกค้าในตลาดหลักทรัพย์ ที่อยากจะทำโปรเจกต์เกี่ยวกับคริปโท อาจจะไปขายคนทั่วไปด้วย มันก็จะเชื่อมโยงกันไปหมด” เขากล่าว
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า การเป็นที่ปรึกษาในโลกสินทรัพย์ดิจิทัล หรือการเข้าไปลงทุนในสตาร์ทอัพสินทรัพย์ดิจิทัล สามารถจบดีลได้เร็วใน 3-6 เดือน การรับรู้รายได้จึงเร็วกว่าแบบเดิมกว่าที่จะจบดีลและรับเงินค่าธรรมเนียมที่ปรึกษาต้องใช้เวลาหลายปี หรืออาจจะยาวถึง 3 ปี 5 ปีกว่าลูกค้าจะเข้าตลาดหุ้นได้ เป็นต้น จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ลงทุนในสตาร์ทอัพเหล่านี้ ซึ่งจากการที่อยู่ในวงการที่ปรึกษาการเงินมายาวนาน ยังไม่เคยเห็นจะมีธุรกิจไหนที่ทำเงินได้เร็วขนาดนี้ เรียกได้ว่าธุรกิจสินทรัพย์เป็นธุรกิจที่จะมาสร้างรายได้ให้โตแบบ S Curve ในอนาคต
สำหรับ Bitcoin ที่ได้ลงทุนไป ถ้าหากมีกำไรมันคือ Passive Income ไม่ใช่ธุรกิจหลักแต่อย่างใด ซึ่งการลงทุนซื้อเพราะเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมคริปโทมีอนาคตแน่นอน บริษัทต้องการเข้ามีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมนี้ จึงกล้าใช้เงินซื้อเพื่อสร้างภาพลักษณ์ว่า BROOK เป็นบริษัทหนึ่งที่เชื่อมั่นในโลกคริปโท
***ฝันใหญ่! อยากสร้าง Exchange ที่เชื่อมต่อตลาดซื้อขายทั่วโลก
“BROOK” ยอมรับว่า เคยมีความสนใจจะทำธุรกิจ Exchange ที่เชื่อมต่อตลาดซื้อขายทั่วโลก เพราะโลกของบล็อกเชนควรเชื่อมกันได้หมด ภาพปัจจุบันของ Exchange ยังเป็นการแยกสภาพคล่อง หากเชื่อมได้ทั่วโลกเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น นักลงทุนจะสามารถขายเหรียญได้จริงๆ ไม่ใช่ว่าอยู่ในตลาดที่ไม่มีการซื้อขาย หรือต่อให้มี Market Maker มาช่วย แต่ถ้าตลาดผันผวนหนัก Market Maker ก็ไม่สามารถทำงานได้อยู่ดี
“เวลาราคาผันผวน 20-30% ทุกชั่วโมง Market Maker ไม่สามารถรับวอลุ่มลูกค้าได้ เพราะอาจจะขาดทุน เพราะตามหลักเขาจะต้องรับวอลุ่มแล้วไปทำเฮดจ์จิ้ง เพื่อลดความเสี่ยงตัวเอง ซึ่งมันทำไม่ได้อย่างเช่นในช่วง LUNA ระเบิด ถ้าทำไม่ได้แปลว่าเรามีเงินอยู่ใน Exchange ที่ไม่มีสภาพคล่อง เราก็ขายไม่ได้ ได้แค่นั่งดูราคาเหรียญตกไปต่อหน้าต่อตา”
“เราอยากแก้ปัญหานี้ แต่การเชื่อม Exchange ทั่วโลกมันยากมากๆ เพราะมีเรื่องระหว่างประเทศ เรื่อง KYC มันเยอะมาก ยังเป็นปัญหาที่ยังไม่ถึงเวลาที่เราจะเข้าไปยุ่ง ดังนั้น ถ้าจะเปิด Exchange แบบนี้ต้องมีไลเซนส์ใบใหม่แต่มองว่าเป็นไปได้ยาก มีหลายปัจจัยที่ต้องควบคุม ยังไม่ถึงเวลา แต่ว่าในอนาคตก็ไม่มีใครรู้”
ปัจจุบัน ธุรกิจการให้คำปรึกษาเรื่องการนำเทคโนโลยีมาใช้ ยังไม่ได้เกี่ยวข้องกับประชาชนทั่วไปหรือนักลงทุนรายย่อย จึงยังไม่จำเป็นต้องขอใบอนุญาตใดๆ จาก ก.ล.ต.
***ฝากนักลงทุนบริหารจัดการพอร์ต เลี่ยงการใช้มาร์จิ้น
“วริศ” ฝากข้อคิดไว้ตอนท้ายไว้น่าสนใจ หลักๆ 2 เรื่อง เรื่องแรกสำหรับผู้ที่สนใจในเทคโนโลยีบล็อกเชน ไม่จำเป็นต้องยึดติดว่าซื้อหรือขายเหรียญอะไร เพราะเทคโนโยีนำมาใช้ประโยชน์ได้เยอะมาก สามารถค้นในอินเทอร์เนต อาจพบนวัตกรรมต่างๆ ที่มีคนโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย บางทีอาจเกี่ยวข้องกับเรา
และเราไม่ควรอ่านข้อมูลมากเกินไป โดยเฉพาะข้อมูลการทำงานของบล็อกเชน เหมือนใช้โทรศัพท์ เรารู้แค่แอปก็พอ ไม่ต้องไปรู้ถึงชิพ ถ้าเทียบกับล็อกเชน คือ ไม่ต้องไปรู้ถึง PoS , PoW หรือการเขียนโค้ดคอมพิวเตอร์ ดังนั้น มันจะลดข้อมูลที่เราต้องการจะรู้ให้ลดลงไปได้มาก เรื่องความเป็นไปได้ของเทคโนโลยี มันมีนักตรวจสอบดูให้อยู่แล้ว ถ้ามันใช้ไม่ได้เขาจะมาบอก
เรื่องที่สองคือ “การลงทุนในคริปโท” เนื่องจากมันผันผวนสูง สิ่งที่ไม่ควรทำ ถ้าเป็นไปได้ อย่างเช่น เรื่องกู้เงิน มองว่าไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร สมมุติเราลงทุนในสตาร์ทอัพหรือธุรกิจที่มีความเสี่ยง หรือเราอยากเปิดร้านกาแฟหรือขายเสื้อผ้า คงไม่มีใครกู้เงิน 1: 10 ไปเปิดร้าน คือมี 10,000 บาท คงไม่กู้เงิน 100,000 ไปเปิดร้านเพราะว่ามันจะเสี่ยงมาก
เรื่องนี้ ก็ควรจะเอามาใช้กับการลงทุนในเหรียญคริปโทด้วย เพราะว่ามันคือ สตาร์ทอัพเหมือนกัน และยิ่งเรากู้มาก (ไม่ว่าจะรายย่อยหรือรายใหญ่ก็ตาม) หนี้ในระบบมันจะยิ่งสูง คนที่เป็นนักการเงินเก่งๆ เขาจะทำราคาให้ผันผวนเพื่อให้เราโดนล้างพอร์ต
“ถ้าตลาดคริปโทมี 100 บาท แต่คนกู้ 1,000 บาทมาเล่น คนที่เป็นนักการเงินเก่งๆ เขาก็รู้อยู่แล้วว่าถ้าตกลงมาครึ่งหนึ่งอย่างไรเสียคุณก็ต้องโดนล้างพอร์ต แต่ถ้าไม่มีใครกู้เลย แล้วทุกคนใช้แนวทางเดียวกัน เพราะเชื่อในเทคโนโลยีก็คือถือยาวๆ ต่อให้ทุบเหรียญยังไงก็ไม่มีใครขาย เขาก็ไม่ได้อะไร ก็ไม่มีเหตุให้เขาทุบราคา”
“ฉะนั้น อาจจะต้องตามดูหนี้โดยรวมในโลกคริปโทด้วยว่า สูงเกินไปหรือไม่? เพราะเราเห็นบทเรียนจากไม่กี่เดือนที่ผ่านมาแล้วว่า ถ้าหนี้สูงเกินไป จะมีช่องให้โจมตีทางการเงินได้ง่ายเพราะตลาดมันยังใหญ่ไม่พอ อันนี้จะต้องระวังไว้”
ที่มา : รายการ Shrimp Talk
|