ข่าวหุ้นล่าสุด

5 เรื่องที่คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “The Merge” อัปเกรดใหญ่ Ethereum

 

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -15 ส.ค. 65 10:57 น.

           บทความนี้จะพามาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับการอัปเกรดครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของเครือข่าย Ethereum ที่เรียกว่าการอัปเกรด “The Merge” ต่อไปนี้คือ 5 ประเด็นที่คนมักเข้าใจผิดกันมากที่สุดเกี่ยวกับการอัปเกรดครั้งนี้

           ด้วยกระแสความตื่นเต้นจากการอัปเกรด The Merge ของ Ethereum (ETH) ที่นับถอยหลังใกล้เข้ามาทุกขณะซึ่งจะมีการผสานเครือข่ายบล็อกเชนสองเครือข่ายเข้าไว้ด้วยกัน นั่นคือเครือข่ายหลักของ Ethereum เดิมกับเครือข่ายใหม่อย่าง Beacon Chain ก็ทำให้ปรากฏข้อมูลข่าวสารที่จริงบ้างเท็จบ้างปะปนกันไป

           The Merge ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นการการอัปเกรดครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของเครือข่าย Ethereum จะเป็นการสิ้นสุดยุคของกลไกฉันทามติแบบ Proof-of-Work (PoW - การใช้พลังงานและทรัพยากรคอมพิวเตอร์ในการประมวลผลเพื่อรับสิทธิ์เป็นผู้ตรวจสอบยืนยันธุรกรรมบนเครือข่าย) แต่ก็ปรากฏว่ายังมีเรื่องราว 5 ประเด็นที่คนมักเข้าใจผิดกันมากที่สุดเกี่ยวกับการอัปเกรดครั้งนี้

           #ความเข้าใจผิดเรื่องที่ 1: ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมของ Ethereum จะลดลงหลังการอัปเกรด The Merge แล้ว

           สิ่งที่นักลงทุนเข้าใจผิดกันมากที่สุดเรื่องหนึ่งคือ การอัปเกรดครั้งใหญ่นี้จะลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมของ Ethereum (ที่เรียกว่าค่า Gas) ซึ่งแพงกระเป๋าฉีกลงได้มหาศาล แม้ว่านักลงทุนจะคาดหวังให้ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมของ Ethereum ลดต่ำลง แต่จริง ๆ แล้ว The Merge เป็นเพียงกระบวนการเปลี่ยนผ่านให้เครือข่าย Ethereum ไปใช้กลไกฉันทามติแบบ Proof-of-Stake (PoS - การวางเหรียญไว้ในระบบเพื่อแลกรับสิทธิ์ในการตรวจสอบและยืนยันธุรกรรมบนบล็อกเชน) แทนกลไกฉันทามติแบบ PoW ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเท่านั้น

           ดังนั้น การลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมของ Ethereum จะต้องอาศัยการพัฒนาบล็อกเชนเพื่อขยายขีดความสามารถในการรองรับปริมาณธุรกรรมที่เพิ่มขึ้น ขณะนี้กลุ่มนักพัฒนากำลังมุ่งเน้นไปที่การสร้างเทคโนโลยี Rollup (การทำธุรกรรมนอกบล็อกเชนหลัก แล้วรวมข้อมูลธุรกรรมกลับมาบันทึกลงบนบล็อกเชนหลัก เพื่อขยายขีดความสามารถในการรองรับธุรกรรมที่มีจำนวนมากขึ้น) เพื่อลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมให้ถูกลง

           #ความเข้าใจผิดเรื่องที่ 2: การทำธุรกรรมบนเครือข่าย Ethereum จะมีความรวดเร็วขึ้นหลังการอัปเกรด The Merge

           คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะคาดหวังให้การทำธุรกรรมบนเครือข่าย Ethereum มีความรวดเร็วขึ้นหลายเท่าตัว แต่ในความเป็นจริงก็คือเครือข่าย Beacon Chain จะรองรับการผลิตบล็อกใหม่จากผู้ตรวจสอบยืนธุรกรรมของเครือข่ายที่ความเร็ว 12 วินาทีต่อหนึ่งบล็อก ซึ่งเป็นความเร็วที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจาก 13.3 วินาทีต่อหนึ่งบล็อกบนเครือข่ายหลักของ Ethereum ในปัจจุบันเท่านั้น

           แม้ว่ากลุ่มนักพัฒนาของ Ethereum จะเชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนผ่านไปใช้กลไกฉันทามติแบบ PoS จะทำให้อัตราการผลิตบล็อกใหม่มีความรวดเร็วเพิ่มขึ้น 10% แต่ในสายตาของผู้ใช้งานทั่วไปคงจะแทบไม่สังเกตเห็นถึงความแตกต่างที่เกิดขึ้นนี้

           #ความเข้าใจผิดเรื่องที่ 3: การอัปเกรด The Merge จะทำให้บล็อกเชนของ Ethereum หยุดทำงาน

           จากประเด็นความเข้าใจผิดสองข้อที่ผ่านมาซึ่งคนอาจจะคาดหวังพัฒนาการจาก The Merge มากเกินไป แต่ในข้อนี้กลับเป็นปัญหาที่ลือกันว่าจะเกิดขึ้นพร้อมกับการอัปเกรด The Merge นั่นก็คือบล็อกเชนของ Ethereum จะต้องหยุดการทำงานไประยะหนึ่ง

           แต่กลุ่มนักพัฒนาคาดว่าเครือข่ายของ Ethereum จะยังคงทำงานต่อเนื่องได้เป็นปกติขณะที่เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบในการสร้างบล็อกจากเดิมที่ใช้กลไก PoW ไปสู่กลไกใหม่แบบ PoS

           #ความเข้าใจผิดเรื่องที่ 4: นักลงทุนจะสามารถถอนเหรียญ ETH ที่ล็อกไว้ในเครือข่ายออกมาได้หลังการอัปเกรด The Merge เสร็จสมบูรณ์แล้ว

           เหรียญ Staked ETH (stETH) คือคริปโทเคอร์เรนซีที่มีการค้ำมูลค่าไว้กับเหรียญ ETH ที่ถูกล็อกไว้บนเครือข่าย Beacon Chain ในสัดส่วน 1:1 แม้ว่าบรรดาผู้ใช้งานอาจจะต้องการถอนเหรียญ stETH ของตัวเองออกมาในเร็ว ๆ นี้ แต่ทางกลุ่มผู้พัฒนายืนยันแล้วว่าหลังการอัปเกรด The Merge จะยังไม่มีการปล่อยเหรียญ stETH คืนสู่เจ้าของในทันที

           ทั้งนี้ จะมีการเปิดให้ถอนเหรียญ stETH ได้หลังจากการอัปเกรดใหญ่ถัดจาก The Merge ที่เรียกว่าการอัปเกรด Shanghai ดังนั้นเหรียญ stETH จะยังคงถูกล็อกไว้ในระบบโดยไม่สามารถทำอะไรได้ไปอีกอย่างน้อย 6-12 เดือนหลังการอัปเกรด The Merge แล้ว

           #ความเข้าใจผิดเรื่องที่ 5: ผู้ตรวจสอบยืนยันธุรกรรมจะไม่สามารถถอน ETH ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่ได้รับจากการทำหน้าที่ได้จนกว่าจะมีการอัปเกรด Shanghai

           แม้ว่าในฝั่งของนักลงทุนจะไม่สามารถถอนเหรียญ stETH ได้จนกว่าการอัปเกรด Shangai จะเสร็จสมบูรณ์ แต่ผู้ตรวจสอบยืนยันธุรกรรมของเครือข่าย Ethereum จะได้รับเหรียญ ETH เป็นค่าตอบแทนทันทีจากค่าธรรมเนียมที่ผู้ใช้งานจ่ายให้เพื่อทำธุรกรรมบน Ethereum รวมไปถึงยังจะได้รับค่าตอบแทนตามอัตราเพดานสูงสุดสำหรับการสร้างบล็อก (Maximal Extractable Value -MEV) บนเครือข่ายชั้นระบบปฏิบัติการหรือบนเครือข่ายหลักของ Ethereum อีกด้วย

           เนื่องจากการจ่ายค่าธรรมเนียมให้แก่ผู้ตรวจสอบยืนยันธุรกรรมจะไม่ได้ใช้เหรียญ ETH ที่ถูกผลิตขึ้นใหม่ จึงทำให้ผู้ตรวจสอบยืนยันธุรกรรมสามารถนำเหรียญ ETH ที่ได้รับมาไปใช้งานได้ทันที

           สำหรับประเด็นพัฒนาการของ Ethereum ในอนาคตนั้น ทาง Mihailo Bjelic ผู้ร่วมก่อตั้งของ Polygon ได้ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ข่าว Cointelegraph ในเรื่องศักยภาพของ Ethereum ที่ยังซ่อนเร้นอยู่ โดยกล่าวถึงเทคโนโลยี zkEVM Rollups ซึ่งเป็นระบบใหม่ที่จะเข้ามาขยายขีดความสามารถในการรองรับปริมาณธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นของ Ethereum และจะผลักดันให้ผู้นำตลาดด้านเครือข่าย Smart Contract (สัญญาอัตโนมัติ) รายนี้สามารถประมวลผลธรุกรรมได้รวดเร็วจนแซงหน้ายักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Visa เลยทีเดียว

           นอกจากนี้ทาง Sandeep Nailwal ที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งของ Polygon อีกรายก็มีวิสัยทัศน์ไปในทิศทางเดียวกันกับ Bjelic โดยมองว่าเทคโนโลยี zkEVM Rollups จะลดค่าธรรมเนียมของ Ethereum ลงไปได้ถึง 90% และเพิ่มความสามารถในการประมวลผลธุรกรรมให้ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 40-50 ธุรกรรมต่อวินาที

 


           ที่มา : cointelegraph

 

 


เรียบเรียง  ชัชชญา อังคุลี 
                อีเมล์. [email protected]

อนุมัติ     อนุรักษ์ ลีประเสริฐสุนทร 









ข่าวหุ้นอื่นๆที่น่าสนใจ

LATEST NEWS

ข่าวที่เกี่ยวข้องล่าสุด

Refresh

ดูข่าวทั้งหมด

RECOMMENDED NEWS

ข่าวหุ้นยอดนิยม

Refresh