สหประชาชาติ (UN) เตือน การขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และ ธนาคารกลางของประเทศยักษ์ใหญ่อื่นๆ อาจสร้างความเสี่ยงให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก และช่วงที่ภาวะเงินเฟ้อสูงในขณะที่เศรษฐกิจชะลอตัว หรือ Stagflation
จากรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (United Nations Conference on Trade and Development หรือ UNCTAD) ระบุว่า อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และนโยบายเข้มงวดของบรรดาประเทศร่ำรวยอันไม่รอบคอบ ที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศที่มีรายได้ต่ำกว่า
รีเบคกา กรีนสแปน เลขาธิการ UNTAD กล่าวว่า มีเครื่องมือมากมายที่จะช่วยลดระดับเงินเฟ้อ และสนุบสนุนกลุ่มเปราะบาง อย่างไรก็ตาม การดำเนินการในปัจจุบัน กำลังสร้างความเสียหายให้กับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา และเพิ่มความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจถดถอยให้กับทั่วโลก
UNTAD คาดว่า การปรับจุดร้อยละแต่ละจุดของเฟดในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแต่ละครั้ง ส่งผลให้ผลผลิตทางด้านเศรษฐกิจลดลงในประเทศร้ำรวยอื่นๆ ราว 0.5% และในประเทศยากจนราว 0.8% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยประเทศที่มีรายได้ต่ำกว่า จะเผชิญกับผลผลิตทางเศรษฐกิจที่ลดลงประมาณ 360 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 3 ปีข้างหน้า จากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายๆ ครั้งของเฟด
จากรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (United Nations Conference on Trade and Development หรือ UNCTAD) ระบุว่า อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และนโยบายเข้มงวด
ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ดำเนินการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่เร็วและรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ เพื่อทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้น และลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ
เมื่อสัปดาห์ก่อน เฟดได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ต่อเนื่องเป็นครั้งที่สาม อีก 0.75% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ มาสู่ช่วง 3.0% - 3.25% ใกล้กับระดับที่กำหนดไว้ บ่งชี้ว่า การปรับขึ้นที่สูงนี้กำลังจะตามมา
นอกจากนี้ มีการคาดการณ์มากขึ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ว่าการที่เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ย เร็วและแรง มากที่สุดในรอบ 3 ทศวรรษ เพื่อให้ทันกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น อาจทำให้เกิดเศรษฐกิจตกต่ำ
ทั้งนี้ การเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ กำลังเผชิญกับภาวะหดตัวในสองไตรมาสแรกของปีนี้ โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ลดลง 1.6% ทั้งสองไตรมาส