NWR ตั้งเป้าปี 65 รายได้เติบโต 30-50% หลังตุน Backlog ในมือมากกว่า 3.88 หมื่นล้านบาท พร้อมเดินหน้าประมูลงานใหม่ต่อเนื่อง ส่วนกลุ่มอสังหาฯ ตั้งเป้ารายได้ 600 ลบ. เปิด 2 โครงการใหม่หนุน
นายวิสุทธิ์ สุวรรณวิทย์เวช รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายธุรกิจใหม่และวางแผนกลยุทธ์ บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR เปิดเผยในงาน Opportunity Day ว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 30-50% หลังปัจจุบันมีปริมาณงานในมือ (backlog) อยู่ที่ 38,850 ล้านบาท และ คิดเป็นจำนวนโครงการ 54 โครงการ โดยมีการลงนามในสัญญาไปแล้ว 38,377.92 ล้านบาท ซึ่งเหลือรอลงนามสัญญาประมาณ 472 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ใน 2 เดือนแรกนี้ บริษัทได้งานเพิ่ม 2 โครงการ คือ งานอาคารท่าเรือแหลมฉบัง 3,452 ล้านบาท และ งานใต้ดินรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ 5,648 ล้านบาท รวม 9,100 ล้านบาท โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายจะได้งานใหม่ใกล้เคียงปีก่อนประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งปีนี้บริษัทติดตามงานจากภาครัฐที่คาดจะทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทยังเน้นเข้าประมูลงานภาครัฐเป็นหลัก
“แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/65 ค่อยๆ ดีขึ้น จากไตรมาส 4/64 หลังรายได้จากงานก่อสร้างมีเข้ามาเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไปภาพจะชัดเจนมากขึ้น และ ยังเชื่อว่าผลประกอบการจะดีขึ้นตามลำดับ”นายวิสุทธิ์ กล่าว
สำหรับความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนนั้น ได้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนให้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นต้นทุนทางด้านขนส่ง และ ต้นทุนก่อสร้างของบริษัท แต่เนื่องจากปัจจุบันภาครัฐยังตรึงราคาน้ำมันไม่เกิน 30 บาท/ลิตร ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบเล็กน้อย โดยเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในระยะสั้น แต่หากสถานการณ์ยืดเยื้อ และ ภาครัฐไม่สามรถตรึงราคาน้ำมันไว้ได้ บริษัทก็อาจต้องมีการปรับราคาขายเพิ่มขึ้น เพื่อสะท้อนต้นทุนที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ นายวิสุทธิ์ ระบุเพิ่มเติมว่า ในส่วนมูลค่าการลงทุนก่อสร้างรวม 3 ปี(65-67) มีแนวโน้มขยายตัว 4.5-6.5%ต่อปี ปัจจัยหลักมาจากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งภาครัฐคาดว่าจะขยายตัว 6.0-7.0% ต่อปี จากโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงกับพื้นที่ EEC ซึ่งจะเริ่มในปี 65 ทั้งระบบรางและถนน
เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) โดยเฟสแรกจะเริ่มในช่วงสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา , โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 และ โครงการสําคัญอื่น ๆ เช่น โครงการพัฒนาอาคารผู้โดยสารส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ(Terminal 2) ,โครงการรถไฟความเร็วสูง(กรุงเทพฯ-นครราชสีมา) , โครงการรถไฟทางคู่ช่วงขอนแก่น-หนองคาย และ โครงการรถไฟฟ้าสีม่วงใต้ (เตาปูนราษฎร์บูรณะ)
ทางด้านภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวระดับต่ำในปี 65 และ ทยอยดีขึ้นในปี 66-67 หนุนโดยการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐเหนี่ยวนํางานก่อสร้างภาคเอกชนให้ขยายตัวตาม , การลงทุนใน EEC หนุนให้เกิดการก่อสร้างโรงงานและนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ดังกล่าว และ มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ จากภาครัฐที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัยหนุนความต้องการซื้อขายบ้าน และ คอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้น
ส่วนผู้รับเหมารายใหญ่จะมีความได้เปรียบรายกลางและเล็ก เนื่องจากมีอํานาจต่อรองกับผู้ผลิต และ ผู้ค้าวัสดุก่อสร้างสูงกว่า และ มีโอกาสได้งานประมูลมากกว่าทั้งยังสามารถขยายการก่อสร้างในประเทศเพื่อนบ้าน ด้านผู้รับเหมารายกลางและรายเล็ก ยังต้องพึ่งพาการรับเหมาช่วง (Sub contract) จากผู้รับเหมารายใหญ่รายได้จึงไม่แน่นอน อีกทั้ง มีโอกาสเผชิญปัญหาแรงงานขาดแคลนจากโควิด-19
นายปสันน สวัสดิ์บุรี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส NWR เปิดเผยว่า ทางด้านธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่บริหารโครงการ โดยบริษัท มานะ พัฒนาการ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ NWR ถือ 99% ในปี 65 จะเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการ เป็นโครงการบ้านเดี่ยว 1 โครงการ แถวรังสิต คลอง 3 และ คอนโดมิเนียม โครงการ Aspen Condo ซึ่งคาดจะสามารถเปิดขายได้ในไตรมาส 4/65 หรือ ต้นปี 65
โดยเป้าหมายรายได้จากธุรกิจอสังหาฯ ปีนี้คาดไว้มากกว่า 600 ล้านบาท จากการเปิดโครงการใหม่ และ รับรู้รายได้จากโครงการที่เปิดขายไปก่อนหน้านี้ แต่เนื่องด้วยสถานการณ์ปัจจุบันทั้งภาวะเศรษฐกิจ และ การแพร่ระบาดโควิด ส่งผลกระทบต่อความสามารถการกู้ของลูกค้า ซึ่งถือว่าตลาดภาคอสังหาฯ ปีนี้ยังมีความท้าทายอยู่ |