efinancethai

ประเด็นร้อน

เปิดโผหุ้นได้-เสีย หลัง "โดนัลด์ ทรัมป์" ชนะเลือกตั้ง

เปิดโผหุ้นได้-เสีย หลัง

ผลเลือกตั้งสหรัฐฯ "โดนัลด์ ทรัมป์" ชนะ "คามาลา แฮร์ริส" ขึ้นแท่นประธานาธิบดีคนที่ 47 ด้านนักวิเคราะห์มองลบต่อประเด็นดังกล่าว หลังคาดสงครามการค้าสหรัฐฯ - จีนหวนปะทุอีกครั้ง จากนโยบายขึ้นกำแพงภาษีสินค้าจีนเป็น 40 - 60% (เดิม 20%) ระยะสั้นอาจกดหุ้นไทยดิ่งต่ำสุดบริเวณ 1,410 จุด แนะสะสมหุ้นนิคมฯเหตุรับอานิสงส์ย้ายฐานผลิตจากจีน  เลี่ยงหุ้นปิโตรฯ- บรรจุภัณฑ์ จากการขึ้นภาษีการนำเข้าจีน

 

*** "ทรัมป์" ชนะเลือกตั้ง นั่งประธานาธิบดีสหรัฐฯสมัย 2

ผลรายงานการนับคะแนนเลือกตั้งสหรัฐฯ ล่าสุด (15.47 น.) "โดนัลด์ ทรัมป์" อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน ได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral vote) ไปแล้ว 267 คะแนน ทิ้งห่าง"คามาลา แฮร์ริส" รองประธานาธิบดีคนปัจจุบัน จากพรรคเดโมแครต ที่ได้ 224 คะแนน ซึ่งตามระบบเลือกตั้งสหรัฐฯ ผู้สมัครคนใดที่ได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้งถึง 270 คะแนนก่อน มีโอกาสสูงที่จะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี


โดยล่าสุด "โดนัลด์ ทรัมป์" ออกมาประกาศชัยชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯเหนือ "คามาลา แฮร์ริส" ตัวแทนจากพรรคเดโมแครตแล้ว 


 

*** จับตานโยบายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าต่างประเทศ

ขณะที่ แวดวงตลาดทุนทั่วโลก ต่างให้ความสำคัญต่อนโยบายเศรษฐกิจของผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เนื่องจากสหรัฐฯเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก และนโยบายต่าง ๆ มีผลทั้งทางตรง และทางอ้อมต่อประเทศคู่ค้าทั่วโลก โดยนโยบายเศรษฐกิจของทั้ง "โดนัลด์ ทรัมป์" มีสาระสำคัญดังนี้


นโยบายเศรษฐกิจของ "โดนัลด์ ทรัมป์" จะให้ความสำคัญกับการยุติภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐฯ โดยจะพยายามทำให้ราคาสินค้าในสหรัฐฯปรับตัวลดลงอีกครั้ง นอกจากนี้ ยังมีท่าทีแทรกแซงธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯลงอีกด้วย 


ขณะเดียวกัน "โดนัลด์ ทรัมป์" ยังเสนอลดหย่อนภาษีหลายประการมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการช่วยเหลือคนรวย อีกทั้ง เตรียมเสนอเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศส่วนใหญ่ในอัตรา 10 - 20% (เดิม 3%) และภาษีนำเข้าจากจีนในอัตราที่สูงขึ้นเป็นราว 40 - 60% (เดิม 20%) ประกอบกับ เตรียมจะยุติสงครามในยูเครนภายใน 24 ชั่วโมง ผ่านการเจรจาข้อตกลงกับรัสเซีย

 

*** หวั่น"ทรัมป์"นั่งผู้นำสหรัฐฯ SET อาจหลุด 1,410 จุด

"สรพล วีระเมธีกุล" ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย ประเมินว่า ถ้า "โดนัลด์ ทรัมป์" ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นเอเชียเล็กน้อย จากนโยบายเศรษฐกิจของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ที่อาจทำให้เงินดอลลาร์ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับตัวขึ้นได้ ส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ (Fund Flow) จะชะลอการไหลเข้าในตลาดหุ้นเอเชีย 


อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่า "โดนัลด์ ทรัมป์" จะสามารถครองเสียงได้ทั้ง 2 สภาหรือไม่ หากเป็นไปในทิศทางดังกล่าว SET Index ก็มีโอกาสปรับตัวลงไปทดสอบแนวรับที่ 1,410 จุด และอาจหลุดระดับดังกล่าวได้ แต่หาก "โดนัลด์ ทรัมป์" ได้เสียงแค่สภาเดียว SET Index จะมีแนวรับลึกสุดไม่เกิน 1,410 จุด


สอดคล้องกับ "ธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์" นักกลยุทธ์เศรษฐศาสตร์มหภาค บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ที่มองว่า หาก "โดนัลด์ ทรัมป์" ชนะการเลือกตั้ง จะทำให้ SET Index กลับมามีความผันผวนอีกครั้ง เนื่องจากคาดว่า ตลาดจะมีความกังวลต่อความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรับฯ ซึ่งอาจส่งผลทำให้ทิศทาง Fund Flow ชะลอไหลเข้าตลาดหุ้นเอเซียและไทย แต่เชื่อว่าการพักตัวยังของ SET Index ยังจำกัดในกรอบ 1,430 - 1,450 จุด


ขณะที่ บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ถ้า "โดนัลด์ ทรัมป์" ชนะเลือกตั้ง ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสผันผวนมากขึ้น จากผลกระทบการเก็บภาษี 100% จากประเทศจีน รวมทั้ง ประเทศในกลุ่ม BRICS อีกทั้ง ค่าเงินมีโอกาสผันผวน และเงินเฟ้อสหรัฐฯอาจยืนอยู่ในระดับสูงนานขึ้นด้วย 

 

*** แต่ระยะยาว SET อาจได้แรงหนุน จากการย้ายฐายผลิตจากจีน

"ศรพล ตุลยะเสถียร" รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า หลัง "โดนัลด์ ทรัมป์" รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต้องติดตามว่าจะเกิดสงครามการค้ากับจีนหรือไม่ หรือรุนแรงแค่ไหน ซึ่งก็มีโอกาสที่จะมีการย้ายฐานการผลิตมาที่ไทย จากที่ทรัมป์หาเสียงไว้ว่าจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 60% แต่ประเทศอื่นเก็บ 10% นอกจากนี้จะมีการปรับเปลี่ยนซัพพลายเชนหรือไม่ รวมถึงการปรับตัวของภาคธุรกิจของไทย อีกด้วย  


เช่นเดียวกับ "วิจิตร อารยะพิศิษฐ" นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า หาก "โดนัลด์ ทรัมป์" ชนะการเลือกตั้งจะทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดความผันผวนแน่นอน แต่ประเมินว่าจะเป็นไปแค่ในระยะสั้นเท่านั้น โดยมองว่า SET Index จะมีแนวรับแรกอยู่ที่ 1,470 จุด และแนวต้าน 1,500 จุด


อย่างไรก็ตาม ยังมั่นใจว่า ภายหลังการเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ตลาดหุ้นไทยจะยังได้รับอานิสงส์บางจุด เช่น การย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทยมากขึ้น นอกจากนี้ ไม่ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยเลือกที่จะขึ้นมากกว่าลง


ด้าน บทวิเคราะห์ บล.ยูโอบีเคย์เอียน (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หลังการเลือกตั้งสหรัฐฯเสร็จสิ้น ไม่ว่าใครจะเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ เพราะจะได้แรงหนุนจากเงินบาทแข็งค่าขึ้น หลังส่วนต่างดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ - ไทย แคบลง เนื่องจาก Fed มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 67 ลงอีก 50 bps และ ปี 68 อีก 100 bps ขณะที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ระดับเดิมในปี 67 และปรับลดอีกเพียง 25 bps ในปี 68 และคาดจะเกิดผลของการ Relocation 


สอดคล้องกับ "กอบศักดิ์ ภูตระกูล" ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (ThaiBMA) ที่ประเมินว่า ไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็จะส่งผลดีต่อการลงทุนของไทย เนื่องจากจะเกิดกระแสการไหลเวียนของเงินทุนที่จะเข้ามาลงทุนโดยตรง ซึ่งจะช่วยให้เกิดการสร้างโรงงานการผลิตในไทยอย่างต่อเนื่อง


 

*** โบรกฯส่วนใหญ่แนะลงทุนหุ้นนิคม หลัง "ทรัมป์" ชนะเลือกตั้ง

"สรพล วีระเมธีกุล" กล่าวว่า หุ้นที่จะได้รับอานิสงส์หลัง "โดนัลด์ ทรัมป์" ชนะการเลือกตั้ง คือ กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการย้านฐานผลิต ประกอบด้วย AMATA, SJWD และ DELTA และกลุ่มที่รับอานิสงส์สงครามสงบลง คือ PSL ส่วนหุ้นที่เสียประโยชน์ คือ กลุ่มค้าเหล็ก ประกอบด้วย DOHOME และ GLOBAL


ขณะที่ "ธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์" ระบุว่า หาก "โดนัลด์ ทรัมป์" ชนะการเลือกตั้ง มองว่าหุ้นไทยที่จะได้รับ Sentiment บวก คือ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม แนะนำ WHA กับ AMATA และ กลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ แนะนำ HANA และกลุ่มโลจิสติกส์ แนะนำ WICE กับ RCL เป็นต้น


ด้าน บทวิเคราะห์ บล.ยูโอบีเคย์เอียน (ประเทศไทย) ระบุว่า หาก "โดนัลด์ ทรัมป์" ชนะการเลือกตั้งหุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์ คือ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม แนะนำ AMATA กับ WHA, กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ แนะนำ DELTA และกลุ่มเหมืองถ่านหินและโรงไฟฟ้าถ่านหิน แนะนำ BANPU ส่วนกลุ่มที่คาดจะเสียประโยชน์ ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมี และกลุ่มบรรจุภัณฑ์ จากการขึ้นภาษีการนำเข้าจากจีน


ส่วน บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ปิดท้ายว่า กลยุทธ์ลงทุนใสตลาดหุ้นไทย หาก "โดนัลด์ ทรัมป์" ชนะการเลือกตั้ง แนะนำ นักลงทุนทยอยสะสมหุ้นขนส่ง จากการเร่งสั่งสินค้าก่อนมีการขึ้นภาษี แนะนำ RCL, PSL, SJWD และ WICE กลุ่มนิคมฯได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต เพื่อลดความเสี่ยงจากประเด็นกำแพงภาษี แนะนำ AMATA, WHAT และ ROJNA อีกทั้ง ยังแนะนำเก็งกำไรหุ้นได้ประโยชน์จากบิทคอยน์ คือ TTA, JTS และ BTC เป็นต้น 
 







ข่าวหุ้นอื่นๆที่น่าสนใจ

RECOMMENDED NEWS

ข่าวหุ้นยอดนิยม

Refresh




LATEST NEWS

ข่าวหุ้นล่าสุด

Refresh

ดูข่าวทั้งหมด