เอกชนแห่ขอยืดชำระหนี้หุ้นกู้ มูลค่ารวมกว่า 9.8 พันล้านบาท เหตุโควิด-19 สูบสภาพ พบ 5 บจ.มีเอี่ยว มูลค่ารวม 5.7 พันล้านบาท วงการชี้อาจมีเพิ่ม แต่ไม่น่ากังวล แค่เลื่อน ยังไม่พบการผิดนัดชำระ แถมมูลค่ายังไม่สูงมาก และต้องขอมติผู้ถือหุ้นก่อนยืดชำระทุกครั้ง
*** ส.ตราสารหนี้เผย เอกชนขอยืดหนี้หุ้นกู้กว่า 9.8 พันลบ.
"ธาดา พฤฒิธาดา" กรรมการผู้จัดการสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า ข้อมูล ณ สิ้นไตรมาส 2/64 มีหุ้นกู้เอกชน 9 บริษัท จำนวน 17 รุ่น ขอยืดระยะเวลาการชำระหนี้ไปนานขึ้น เนื่องจากธุรกิจได้รับผลกระทบโควิด-19 ส่งผลต่อสภาพคล่อง
ทั้งนี้กลุ่มเอกชนที่ขอยืดหนี้หุ้นกู้อยู่ในกลุ่มธุรกิจ ท่องเที่ยว, อสังหาริมทรัพย์, ยานยนต์ และ เหล็ก โดยมีผสมผสานกันทั้งเจ้าเดิมที่ขอยืดหนี้เมื่อปีก่อนแล้วขอยืดเพิ่มปีนี้ และมีรายใหม่ที่ประคองตัวได้ในปีก่อน แต่ปีนี้สถานการณ์ไม่ดีขึ้นจึงขอยืดหนี้
อย่างไรก็ตามยังไม่พบการผิดชำระหนี้หุ้นกู้ (Default) ในปีนี้
*** พบ 5 บจ.มีเอี่ยว มูลค่ารวม 5,665 ล้านบาท
ขณะที่พบว่า 5 จาก 9 บริษัทข้างต้นเป็นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) โดยขอยืดชำระหนี้หุ้นกู้ 9 รุ่น มูลค่ารวม 5,665 ล้านบาท ประกอบด้วย
5 บจ.ขอยืดหนี้หุ้นกู้
|
ชื่อย่อหุ้น
|
รหัสหุ้นกู้
|
มูลค่า (ลบ.)
|
วันครบกำหนดเดิม
|
วันครบกำหนดใหม่
|
%ดอกเบี้ยเดิม
|
%ดอกเบี้ยใหม่
|
CGD
|
CGD213A
|
2,000
|
23/3/64
|
23/3/65
|
7
|
7.5
|
CGD206A
|
800
|
25/6/64
|
25/6/65
|
7
|
7.5
|
CHOW
|
CHOW212A
|
955.6
|
7/2/64
|
7/8/64
|
6.75
|
7
|
CHOW213A
|
184.4
|
20/3/64
|
20/8/64
|
6.75
|
7
|
PPPM
|
TLUXE198A
|
255.6
|
2/7/64
|
2/7/66
|
7.75
|
7.89
|
PPPM213A
|
207.6
|
18/3/64
|
18/3/66
|
8.5
|
8.59
|
TLUXE205A
|
170
|
8/5/64
|
8/5/66
|
7
|
7.06
|
CHO
|
CHO212A
|
545.3
|
22/2/64
|
22/11/65
|
6.75
|
7.5
|
JCK
|
JCK217A
|
546.1
|
26/7/64
|
26/7/66
|
6.75
|
7
|
|
ทั้งนี้พบว่า บจ.กลุ่มนี้ขอขยายเวลาตั้งแต่ 5-24 เดือน โดยมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นกู้ 0.06 - 0.75%
บมจ.คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ (CGD) มีมูลค่าหุ้นกู้ที่ขอเลื่อนสูงสุด 2,800 ล้านบาท จากหุ้นกู้ 2 รุ่น โดยขยายเวลา 12 เดือน และเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็น 7.5% จากเดิม 7%
ส่วน บมจ.พีพี ไพร์ม (PPPM) ขอยืดชำระหุ้นกู้นานสุด 24 เดือน จากหุ้นกู้ 3 รุ่น มูลค่ารวม 633.2 ล้านบาท ปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเป็น 7.06 - 8.59% จากเดิม 7 - 8.5%
ด้าน บมจ.ช ทวี (CHO) เพิ่มอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 0.75% จากเดิม 6.75% เป็น 7.5% โดยขอขยายเวลา 22 เดือน มูลค่าหุ้นกู้ 545.3 ล้านบาท
*** วงการแจงยังไม่น่ากังวล
"ธาดา พฤฒิธาดา" กล่าวเพิ่มเติมว่า หุ้นกู้ที่ขอยืดชะระมูลค่ารวม 9.8 พันล้านบาทนั้น เป็นตัวเลขที่ยังไม่น่ากังวลมากนัก เนื่องจากมีการเปิดเผยข้อมูลต่อนักลงทุนอย่างชัดเจน อีกทั้งยังต้องขอมติอนุมัติจากผู้ถือหุ้นก่อนแล้ว และกรณีที่เป็น บจ.ก็ต้องแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ด้วย
อย่างไรก็ตามอาจมีรายใหม่ที่ขอยืดหนี้ เพราะสถานการณ์โควิด-19 ปีนี้ยังไม่ดีขึ้น แต่เชื่อว่าจะมีน้อยรายและไซส์ไม่ใหญ่มากระดั 1,000-2,000 ล้านบาทเท่านั้น
"หากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายหรือควบคุมได้ เชื่อว่าบริษัทเหล่านี้จะกลับมามีกระแสเงินสดและสามารถจ่ายคืนผู้ถือหุ้นกู้ได้ โดยคาดว่าจะไม่มีความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ เพราะก่อนที่จะขอขยายเวลาได้มีการประชุมผู้ถือหุ้น และผู้ถือหุ้นเองต้องเข้าใจก่อนลงมติและรับรู้แล้ว"
ด้าน "เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม" ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส ระบุว่า การขอยืดระยะเวลาชำระหุ้นกู้ของ บจ.สะท้อนถึงสภาพคล่องทางการเงินที่เริ่มตึงตัวมากขึ้น จากสถานการณ์เศรษฐกิจอยู่ในช่วงชะลอตัว เพราะได้รับผลกระทบการแพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลให้รายได้และกำไรสุทธิของหลาย บจ.ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้การลงทุนในหุ้นประเภทดังกล่าว อาจต้องพิจารณาการฟื้นตัวของผลประกอบการในอนาคตของบริษัทว่ายังมีแนวโน้มกลับมาเติบโตใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดวิกฤติหรือไม่ ซึ่งหากบริษัทสามารถกลับมาเติบโตในอัตราใกล้เคียงเดิม ถือว่า ยังมีความน่าสนใจในการเข้าลงทุนอยู่
ฟาก "วิลาสินี บุญมาสูงทรง" ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก ระบุว่า การยืดระยะเวลาชำระหุ้นกู้ของ บจ.ในช่วงนี้ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากตั้งแต่ต้นปี 63 - ปัจจุบัน ทุกประเทศทั่วโลก ต่างได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลให้ยอดขายของหลายบริษัทปรับตัวลดลง ดังนั้นบางบริษัทจึงเลือกวิธีเลื่อนการชำระหนี้ออกไป เพื่อรักษาสถาพคล่องทางการเงินของบริษัทเอาไว้
ส่วน กลยุทธ์การลงทุนในกลุ่มบริษัทดังกล่าว นักลงทุนควรพิจารณาการฟื้นตัวในอนาคตว่ามีแนวโน้มใช้เวลานานมากน้อยแค่ไหน ซึ่งหุ้นในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยตรง อาทิ การท่องเที่ยวฯ หรือ โรงแรม อาจมีความน่าสนใจเข้าลงทุนลดลง เพราะธุรกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่ากลุ่มอื่น แต่หากเป็นหุ้นในกลุ่มส่งออก อาจมีความน่าสนใจมากที่สุด เพราะกำลังได้รับปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของภาคส่งออกที่อยู่ในระดับสูง