efinancethai

ประเด็นร้อน

SET กลับทิศสู่ขาขึ้น คาดดัชนีทะลุ 1,400 จุด หลังการเมืองคลี่คลาย-GDP โตแจ่ม-ฟันด์โฟลว์คัมแบ็ค

SET กลับทิศสู่ขาขึ้น คาดดัชนีทะลุ 1,400 จุด หลังการเมืองคลี่คลาย-GDP โตแจ่ม-ฟันด์โฟลว์คัมแบ็ค

หุ้นไทยดีดแรงต่อเนื่อง 4 วันทำการรวม 48 จุด หลังปลดล็อค Overhang ประเด็นการเมือง ด้านโบรกฯผสานเสียง SET กลับทิศสู่ขาขึ้นรับ GDP ไตรมาส 2/67 โตกว่าคาด - ฟันด์โฟลว์คัมแบ็ค ลุ้นปีนี้ดัชนีทะลุ 1,400 จุด สูงสุด 1,536 จุด รับปลายปีมีกองทุนวายุภักษ์ - นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรอหนุน แนะสะสมหุ้น Valuation ถูก แต่แนวโน้มกำไรโต !

 

*** หุ้นไทยบวกต่อเนื่อง 48 จุด หลังคลายกังวลการเมือง

ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ช่วง 4 วันทำการก่อนหน้า (16 - 21 ส.ค.) ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องรวม 47.99 จุด หรือเพิ่มขึ้น 3.72% หลังตลาดเริ่มคลายความกังวลต่อประเด็นการเมืองไทยที่เป็น Overhang ถ่วงหุ้นไทยมาก่อนหน้านี้ เนื่องด้วยมีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับ นโยบายเศรษฐกิจที่เคยเป็นความหวังของตลาดหุ้น ดูเหมือนจะได้รับการสานต่อ

 

*** โบรกฯมอง SET Index กลับทิศสู่ขาขึ้น

"ณัฐพล คำถาเครือ" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ดัชนีหุ้นไทยช่วงนี้ดูมีแนวโน้มฟื้นตัวจริงจัง สะท้อนจากช่วง 21 ส.ค.ที่ผ่านมา SET Index สามารถเคลื่อนไหวผ่านแนวต้านสำคัญที่บริเวณ 1,300 จุดไปได้แล้ว ทางเทคนิคทำให้เห็นถึงการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป


ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ SET Index สามารถกลับมาฟื้นตัวได้ คือ มีเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลเข้ามาในภูมิภาคมากขึ้น ส่งผลให้ดัชนีหุ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นจากอานิสงส์ดังกล่าว ประกอบกับ ความกังวลเรื่องการเมืองในประเทศไทยเกี่ยวกับคดีถอดถอนอดีตนายกรัฐมนตรี"เศรษฐา ทวีสิน"จบลงพอดี อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามหน้าตาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งจะเป็นเหตุผลตอบสนองการปรับตัวขึ้นต่อของ SET Index ด้วย


ด้าน "กิจพณ ไพรไพศาลกิจ" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน เสริมว่า การฟื้นตัวของ SET Index เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น สะท้อนจาก 2 - 3 วันทำการที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นโลก โดยมี 3 สาเหตุหนุนดังนี้


1.บริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ผ่านช่วงการรายงานงบการเงินไตรมาส 2/67 ไปแล้ว ปรากฏว่ามีกำไรสุทธิรวมค่อนข้างแข็งแกร่ง เติบโตขึ้นราว 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน


2.มูลค่า (Valuation) หุ้นไทย ณ ปัจจุบัน ส่วนใหญ่ไม่แพง ประกอบกับ มีอัตราเงินปันผลระดับสูงจูงใจ ทำให้มีเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลเข้ามาในกลุ่มนี้ หลังถอยหนีหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯที่เผชิญกับ Valuation ที่ค่อนข้างแพงไปแล้ว


3.การเมืองในประเทศไทยเริ่มคลี่คลาย หลังมีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่างรวดเร็ว ประกอบกับ คาดว่า การแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะสามารถทำได้อย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน ส่งผลให้นักลงทุนยังมีความมั่นใจในนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอยู่


ฟาก "ณรงค์เดช จันทรไพศาล" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไอร่า ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การปรับตัวขึ้นของหุ้นไทยในช่วง 2 - 3 วันที่ผ่านมา เบื้องต้นมองว่าอาจจะเป็นการรีบาวด์ก่อน แต่ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยพร้อมที่จะปรับตัวขึ้นอยู่แล้ว หลังผ่านการปลดล็อดเรื่อง Overhang จากปัจจัยการเมือง และการเติบโตของ GDP ในช่วงไตรมาส 2/67 ที่ดีกว่าตลาดคาด


อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวในระยะถัดไป ถ้าจะเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นอาจต้องหนุนโดยมีนักวิเคราะห์ในตลาดปรับ EPS ของหุ้นไทยขึ้น หลังล่าสุดอยู่ที่ 91.7 บาท/หุ้น ซึ่งที่ผ่านมามีการปรับตัวลงมาต่อเนื่อง ซึ่งการที่ GDP ไตรมาส 2/67 ฟื้นตัวได้ดีกว่าคาด ก็อาจจะอนุมานได้ว่า EPS ของตลาดหุ้นไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 1/67 ไปแล้ว โดยถ้าเป็นไปตามกลไกลดังกล่าว จะหนุนให้เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ (Fund flow) ไหลเข้ามาอีกครั้ง

 

*** ลุ้นดัชนีสิ้นปีแตะ 1,536 จุด มองช่วงนี้ยังน่าสะสม

"กิจพณ ไพรไพศาลกิจ" ประเมินเป้าหมาย SET Index ณ สิ้นปีที่บริเวณ 1,536 จุด และจุดต่ำสุดที่ช่วงดัชนี 1,250 - 1,300 จุด โดยมองว่า หุ้นไทยน่าจะผ่านจุดต่ำสุด (Bottom) ไปแล้ว ทำให้การมองหาจังหวะเข้าสะสมหุ้นช่วงดัชนีย่อตัวอาจจะค่อนข้างยากไปแล้ว ณ ปัจจุบัน 


ขณะที่ "ณัฐพล คำถาเครือ" ประเมินกรอบดัชนีหุ้นไทย ณ สิ้นปีนี้ที่บริเวณ 1,450 จุด ถือเป็นจุดสูงสุดที่ประเมินไว้ ขณะที่จุดต่ำสุดของ SET Index ปีนี้ที่ประเมินไว้ที่ 1,250 จุด โดยมองว่าช่วงดัชนีที่น่าสนใจเข้าลงทุนอีกครั้ง คือ บริเวณ 1,300 จุดบวกลบ เนื่องด้วยบริเวณดังกล่าวยังมีอัพไซด์ราว 10%  


ด้าน "ณรงค์เดช จันทรไพศาล" ประเมินเป้าหมาย SET Index ณ สิ้นปีที่ 1,375 จุด โดยกรอบล่างอยู่ที่ 1,230 จุด สำหรับโซนซื้อที่น่าสนใจ มองว่า ยังอยู่ในช่วงดัชนีต่ำกว่า 1,350 จุด เนื่องด้วยหุ้นหลาย ๆ บริษัทยังมี Valuation ที่ค่อนข้างถูก แต่ก็ต้องเลือกเป็นรายตัวที่ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มเติบโตโดดเด่น ยังไม่สามารถเล่นเป็นกลุ่มได้ 

 

*** คาดช่วงที่เหลือปีนี้ Flow ไหลกลับ 7 หมื่นลบ.

"ณัฐพล คำถาเครือ" ประเมินการเคลื่อนไหว Fund flow ในช่วงที่เหลือของปีนี้ มีแนวโน้มที่จะไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยได้ราว ๆ 7 หมื่นล้านบาท หลังจากที่ตั้งแต่ต้นปี นักลงทุนกลุ่มดังกล่าวขายสุทธิหุ้นไทยราว ๆ 1.2 แสนล้านบาท โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย, เงินดอลลาร์อ่อนค่า และความเชื่อมั่นการเมืองในประเทศไทยกลับมาอีกครั้ง หลังได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่างรวดเร็ว


เช่นเดียวกับ "กิจพณ ไพรไพศาลกิจ" ที่เสริมว่า ช่วงที่เหลือของปี Fund flow มีแนวโน้มไหลกลับเข้ามาในหุ้นไทยมากขึ้น ถ้าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงครั้งแรก เพราะจะทำให้ช่องว่างดอกเบี้ยนโยบายของไทย กับ สหรัฐฯลดลง ซึ่งเป็นแรงจูงใจที่จะทำให้ Fund flow ไหลเข้ามายังตลาดหุ้นไทยมากขึ้น 


ทั้งนี้ ประเมินว่า การไหลเข้าของ Fund flow สู่ตลาดหุ้นไทยอย่างจริงจัง จะเกิดขึ้นช่วงต้นปีหน้า เพราะเป็นช่วงที่คาดกันว่าช่องว่าดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ กับ ไทย จะแคบลงมากที่สุดนับตั้งแต่ Fed เร่งขึ้นดอกเบี้ยในช่วงต้นปี 65 ที่มีการทำสงครามระหว่างรัสเซีย กับ ยูเครน 

 

*** ปัจจัยบวกที่รอหนุน SET ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศ 

"ณัฐพล คำถาเครือ" ระบุว่า ช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังคงต้องติดตามการกลับมาของกองทุนวายุภักษ์โดยคาดจะเป็น Sentiment บวก หนุนดัชนีหุ้นไทยได้ในช่วงปลายปี ประกอบกับ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ถ้าออกมาได้ทันเวลาและได้ผลดีกว่าคาด จะเป็นบวกต่อ SET Index ให้ปรับตัวขึ้นได้ 


สอดคล้องกับ "ณรงค์เดช จันทรไพศาล" ที่มองว่า ปัจจัยบวกที่ต้องติดตามในช่วงที่เหลือของปี คือ จะมีการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 67 ของรัฐบาลไทย, มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และการกลับมาของกองทุนวายุภักษ์ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยหนุนให้ SET Index ปรับตัวขึ้นได้ในช่วงปลายปี


ส่วน "กิจพณ ไพรไพศาลกิจ" เสริมว่า ปัจจัยบวกที่่จะหนุน SET Index ในช่วงที่เหลือของปี ยังมีเรื่องผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยไตรมาส 3/67 ที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี ซึ่งจะส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้ต่อในช่วงดังกล่าวด้วย

 

*** แต่ต้องตามปัจจัยลบต่างประเทศอาจกระทบ SET ได้

"ณัฐพล คำถาเครือ" กล่าวว่า ในช่วงที่เหลือของปี ปัจจัยลบที่จะกระทบ SET มากที่สุดขณะนี้ คือ ความขัดแย้งในโซนต่างประเทศ (ตะวันออกกลาง) และการเปลี่ยนประธานาธิบดีสหรัฐฯใหม่ ซึ่งอาจมีนโยบายใหม่ ๆ ที่ดึงเม็ดเงินออกจากตลาดหุ้นเกิดใหม่กลับเข้าสหรัฐฯอีกครั้งได้เช่นกัน 


ส่วน "ณรงค์เดช จันทรไพศาล" เสริมว่า ปัจจัยลบที่ต้องระมัดระวังจะกระทบตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายปีนี้ คือ การเลือกตั้งสหรัฐฯ หาก"โดนัลด์ ทรัมป์" ชนะการเลือกตั้ง และได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯอีกครั้ง ก็มีโอกาสที่จะเกิดสงครามการค้าขึ้นอีกคำรบ โดยเป็นปัจจัยที่จะกระทบต่อตลาดหุ้นโดยตรงด้วย


ฟาก "กิจพณ ไพรไพศาลกิจ" ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยสูง มีแนวโน้มทำให้เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ อาจนำเงินออกจากตลาดหุ้นเพื่อไปพักยังตลาดตราสารหนี้ชั่วคราว ซึ่งจะทำให้ความน่าสนใจลงทุนในตลาดหุ้นอาจลดลงได้เช่นกัน 

 

*** ยังแนะสะสมหุ้น Valuation ถูก - กำไรโตเป็นหลัก

"ณัฐพล คำถาเครือ" ระบุว่า กลยุทธ์การลงทุนช่วงที่เหลือของปีนี้ แนะนำสะสมหุ้นที่ Valuation ยังถูก และมีเรตติ้ง ESG ระดับสูง เนื่องจากมองว่า หุ้นลักษณะดังกล่าว จะตกเป็นเป้าการซื้อของกองทุนวายุภักษ์ในช่วงปลายปีนี้ แนะนำ PTT, CPALL, SCC, KTB, SCB และ STA เป็นต้น


สอดคล้องกับ "ณรงค์เดช จันทรไพศาล" ที่ระบุว่า กลยุทธ์การลงทุน ยังแนะนำเลือกลงทุนหุ้นเป็นรายตัว เนื่องจาก EPS ตลาดหุ้นไทยยังไม่สามารถเติบโตได้อย่างชัดเจน โดยยังชอบหุ้นประเภทที่ Valuation ถูก แต่ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในอนาคต แนะนำ SCB, BBL KBANK, CPALL, CPAXT, KCE และ HANA เป็นต้น 


ส่วน "กิจพณ ไพรไพศาลกิจ" แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในธีมหุ้นกำไรไตรมาส 3/67 มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่ง ชอบ EGCO, RATCH, ADVANC, BTG และ CPALL เป็นต้น 

แบบสอบถามความพึงพอใจ






ข่าวหุ้นอื่นๆที่น่าสนใจ

RECOMMENDED NEWS

ข่าวหุ้นยอดนิยม

Refresh




LATEST NEWS

ข่าวหุ้นล่าสุด

Refresh

ดูข่าวทั้งหมด