วงการประสานเสียง "Fund Flow" จ่อไหลกลับหุ้นไทย หลังรัฐบาลใหม่เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง จับตา Q4/66 มาแน่ แต่จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ลุ้นเข้าเต็มข้อปีหน้า หากนโยบายเศรษฐกิจเดินหน้าได้จริงต่อเนื่องในทางปฏิบัติ ส่วนปีนี้ยอมรับคงเป็นสถานะ "ขายสุทธิ" เหตุตั้งแต่ต้นปีต่างชาติเทไปแล้วกว่า 1.3 แสนล้านบาท
*** ปีนี้ต่างชาติขายสุทธิ 1.3 แสนล้านบาท
นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีถึง 28 ส.ค.66 (YTD) รวม 1.3 แสนล้านบาท (SET+mai) โดยเป็นการขายสุทธิ 7 เดือนติดต่อกัน ต่างจากปีก่อนสิ้นเชิงที่เป็นสถานะซื้อสุทธิระดับ 2 แสนล้านบาท !!!
จากการรวบรวมความเห็นของนักวิเคราะห์สรุปสาเหตุสำคัญที่เม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ไหลออกจากตลาดหุ้นไทยเกิดจาก 1.ความไม่แน่นอนทางการเมือง 2.เศรษฐกิจในประเทศเติบโตต่ำกว่าคาด เพราะภาคการผลิตและส่งออกของไทยถูกกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจจีน 3.ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปรับตัวลดลง (ครึ่งแรกปี 66 กำไรลดลง 26.6%) และ 4.ทิศทางดอกเบี้ยโลกที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา กดดันให้เงินทุนไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง
อีกสถิติที่น่าสนใจคือ ข้อมูลมูลค่าถือครองของ บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด หรือ NVDR ในหุ้นไทย ซึ่งปกติใช้สะท้อนการลงทุนของต่างชาติ ล่าสุด เหลือ 1.12 ล้านล้านบาท ลดลง 1.24 แสนล้านบาท
การขายต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติส่งผลกระทบต่อมูลค่าซื้อขายและดัชนีตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ ณ 28 ส.ค.66 SET Index ติดลบ YTD ถึง 105.69 จุด หรือ 6.3% ที่น่าสนใจมูลค่าการซื้่อขายปีนี้ลดเหลือ 5.42 หมื่นล้านบาท ต่ำสุดรอบ 4 ปี (ปี 62 เฉลี่ย 5.25 หมื่นล้านบาท) ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนลดลงถึง 29% โดยมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่ำที่สุดของปีนี้อยู่ที่เพียง 3.18 หมื่นล้านบาท (12 มิ.ย.66)
*** ตลท.จัด "Thailand Focus" เรียกความเชื่อมั่น
ขณะที่ล่าสุดเมื่อ 23-25 ส.ค.ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จัดงาน “Thailand Focus 2023 : The New Horizon” โดยมีนักลงทุนสถาบันกว่า 200 ราย จาก 96 สถาบันการเงินการลงทุนทั่วโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, สิงคโปร์, ไต้หวัน, มาเลเซีย, สวีเดน รวมถึงฮ่องกง เป็นต้น ที่น่าสนใจคือปีนี้มีกลุ่มกองทุนจากสแกนดิเนเวียซึ่งไม่เคยลงทุนมาร่วมงานด้วย หรือฮ่องกงที่ปีก่อนไม่ได้มาเข้าร่วม ก็มาในปีนี้
กลุ่มนักลงทุนสถาบันข้างต้นเข้ารับฟังข้อมูลจาก บจ.ไทย 118 บริษัท ทั้งรูปแบบ Group Meeting และ One-on-One กระจายทุกหมวดอุตสาหกรรม ทั้ง SET50, SET100, นอก SET100 และ mai
"ภากร ปีตธวัชชัย" กรรมการและผู้จัดการ ตลท. ระบุว่า งาน "Thailand Focus" เป็นเวทีสำคัญที่ทำให้ผู้ลงทุนทราบถึงโอกาสการลงทุน และทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นต่อเม็ดเงินลงทุน โดยเฉพาะจากผู้ลงทุนต่างประเทศให้กลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง
*** จับตานโยบายรัฐบาลใหม่ ดึง Fund Flow ไหลกลับ
"ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล" ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ประเมินว่า ภาพการเมืองที่เริ่มคลายล็อก หลังได้นายกคนใหม่แล้ว และหากจัดตั้งรัฐบาลลุล่วงด้วยดี จะเป็นปัจจัยหนุนดึงเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลกลับเข้าประเทศไทย โดยเฉพาะตลาดหุ้น
อย่างไรก็ดี นักลงทุนต่างชาติอาจจะกำลังพิจารณาแนวนโยบายของรัฐบาลใหม่ว่าจะสร้างอนาคตอย่างแท้จริงได้แค่ไหน เพราะการลงทุนของต่างชาติจะเป็นระยะยาว 5-10 ปี ซึ่งโจทย์หลักของรัฐบาลใหม่ คือ การประคองเศรษฐกิจไทยให้ผ่านช่วงคับขันที่สุดช่วงหนึ่งของเศรษฐกิจโลกไปให้ได้ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ 3% และต้นปี 2567 ต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ จากปัญหาเรื่องงบประมาณที่ล่าช้าออกไป 3 เดือน รวมถึงเมื่อมีโอกาสเกิดขึ้น ไทยจะต้องหยิบฉวยโอกาสไว้ให้ได้
เช่นเดียวกับ "ศุภโชค ศุภบัณฑิต" กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคินภัทร เชื่อว่า นักลงทุนต่างชาติยังรอซื้อหุ้นไทยอยู่ โดยกำลังเฝ้ารอดูว่านโยบายของรัฐบาลใหม่ที่จะออกมาจะเป็นผลบวกต่อกลุ่มอุตสาหกรรมไหนบ้าง
ทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติตอนนี้ไม่ได้โฟกัสเฉพาะดัชนีเท่านั้น แต่จะเน้นเลือกหุ้นรายตัว หรือเฉพาะกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์มากขึ้น สะท้อนจากปัจจุบันที่หุ้นบางกลุ่ม เช่น ค้าปลีก, โรงพยาบาล และโรงแรม ปรับตัวดีกว่าตลาดฯ
ขณะที่ "ฐาปน พานิช" รองกรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้ คาดว่า 1 - 2 ไตรมาสข้างหน้า หากการเมืองเป็นไปตามแผน จะเห็นการกลับมาของเม็ดเงินลงทุน แต่จะเข้ามามากน้อยหรือต่อเนื่องแค่ไหน ต้องประเมินเป็นช่วง ๆ ไป ตามนโยบาย จนถึงภาคการปฏิบัติจริง โดยเฉพาะหากผ่านพ้นช่วงฮันนีมูนกับพรรคร่วมรัฐบาล จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงในทิศทางไหน และรัฐบาลชุดใหม่จะทำอะไรต่อ รวมถึงภาวะเศรษฐกิจไทยจะไปต่ออย่างไร ต้องใส่เงินอัดฉีดเพิ่มหรือไม่
"จุดเปลี่ยนที่ทำให้ต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยได้นั้น ผมว่ารัฐบาลจัดตั้งได้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ยังต้องจับตาต่อไปว่าพรรคร่วมรัฐบาล 14 พรรคจะไปได้ไหม รวมถึงตลาดเพื่อนบ้าน ซึ่งหากบางจุดบางประเทศเข้าภาวะอิ่มตัว และเมืองไทยมีสตอรี่ที่น่าสนใจ ก็อาจดึงดูดเม็ดเงินบางส่วนไหลกลับเข้ามาได้"
*** "Fund Flow" ฟื้นแน่ แต่เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป
"ไพบูลย์ นลินทรางกูร" นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) ประเมินว่า แม้จะเห็นการตั้งรัฐบาลที่เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น แต่ "Fund Flow" จะยังไม่ไหลกลับเข้ามาแบบทันที เพราะยังมี 2 ปัจจัยลบกดดันอยู่ เช่น เงินบาทอ่อนค่าสวนทางเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และเศรษฐกิจไทยยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนจากภาคการส่งออกที่มีตัวเลขติดลบ 10 เดือนต่อเนื่อง นอกจากนี้การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างประเทศยังต่ำกว่าที่ภาครัฐคาดการณ์อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม "Fund Flow" จะไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยในปีนี้แน่นอน แต่อาจต้องรอให้ถึงช่วงไตรมาส 4/66 เพราะเป็นช่วงที่อาจจะได้เห็นมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่อย่างเต็มตัว ขณะที่ต้องจับตาจุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกประการ คือ การฟื้นตัวของตัวเลขส่งออก หากสามารถพลิกกลับมาเป็นบวกได้ ก็จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนได้
ทั้งนี้ยอมรับว่า การลงทุนต่างชาติปีนี้คงไม่สามารถพลิกกลับมาเป็นสถานะ "ซื้อสุทธิ" ได้ เนื่องจากตั้งแต่ต้นปี "ขายสุทธิ" ค่อนข้างมากกว่า 1.3 แสนล้านบาท แม้จะมีเม็ดเงินไหลกลับมาช่วงปลายปี แต่คงไม่สามารถเติมส่วนที่ขายไปก่อนหน้านี้ได้ ต้องไปลุ้นกันอีกทีในช่วงปี 67 ว่ารัฐบาลใหม่จะมีนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างประเทศได้ต่อเนื่องแค่ไหน
สอดคล้องกับ "ประกิต สิริวัฒนเกตุ" กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ ที่ประเมินว่า หลังจากได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ อาจจะเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติกลับมาได้บ้าง แต่แรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติคงไม่ได้ฟื้นตัวแรงอย่างมีนัยสำคัญ เพราะตอนนี้ยังเป็นการบริหารของรัฐบาลรักษาการอยู่ ระยะสั้นน่าจะไหลเข้าซื้อพันธบัตรไทยมากที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค ขณะที่ตลาดหุ้นไทยคงจะเป็นช่วงปลายปีหลังจากจัดตั้งรัฐบาลแล้วเสร็จและเริ่มทำงาน
ขณะที่เดือน ก.ย.นี้ ยังมีมีความเสี่ยงจากปัจจัยต่างประเทศ ที่น่าจะมีความวุ่นวายจากการปรับฐานของตลาดหุ้นสหรัฐ และที่สำคัญปัจจัยในประเทศจะหมดข่าวดี หลังจากได้นายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ แต่จะเจอปัญหาเศรษฐกิจและงบประมาณปี 67 ที่ล่าช้า มากดดันแทน
ด้าน "เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม" ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.เอเชีย พลัส ประเมินว่า เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ มีแนวโน้มไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง แต่จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยจะทยอยเห็นการไหลเข้าช่วงปลายปี หลังนักลงทุนเริ่มมีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศมากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ "Fund Flow" เทขายหุ้นไทยออกไป
หาก "Fund Flow" ไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยรอบนี้ ประเมินว่า หุ้นในดัชนี SET50 และ SET100 ที่เป็นหุ้น Domestic จะเป็นเป้าหมายหลัก เพราะคาดว่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ในช่วงที่เหลือของปี 66 กลยุทธ์ลงทุน แนะนำนักลงทุนทยอยสะสมหุ้น Domestic ขนาดใหญ่ โดยมีหุ้นที่แนะนำอาทิ CRC, JMART, SCGP และ GFPT เป็นต้น