efinancethai

ประเด็นร้อน

ปัจจัยลบรุมทึ้ง หวั่นหุ้นไทยลงลึกถึง 1,200 จุด

ปัจจัยลบรุมทึ้ง หวั่นหุ้นไทยลงลึกถึง 1,200 จุด

โบรกฯมองหุ้นไทยช่วงนี้กำลังปรับฐาน หลังหลายปัจจัยลบรุมเร้า หนักสุดคือความไม่แน่นอนการเมืองกด SET ยังไม่ไปไหน คาดระยะสั้นหุ้นมีโอกาสดิ่งทดสอบจุดต่ำสุดเดิมที่ 1,280 จุด ซึ่งหากหลุดระดับดังกล่าวไปได้ อาจทดสอบแนวรับใหม่ที่ 1,200 จุด แนะเลือกหุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว รอทยอยซื้อช่วงดัชนีใกล้ 1,280 จุด 

 

*** โบรกฯมองหุ้นไทยอยู่ในช่วงปรับฐาน

บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี ระบุว่า ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ในปี 2567 ยัง “Underperform” ตลาดหุ้นโลกต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี (YTD) ปรับตัวลงราว 8.6% โดยการปรับตัวลดลงเร่งขึ้นในระยะหลัง จากปัญหาความไม่ชัดเจนการเมือง


ด้าน บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส เสริมว่า SET Index ในช่วงนี้ ยังปรับตัวขึ้นได้ยาก เนื่องจากมีประเด็นกดดันหลากหลาย ทั้งความไม่แน่นอนการเมือง, การดำเนินนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลที่เลื่อนออกไป โดยเฉพาะกองทุน TESG ใหม่ รวมถึงความกังวลการ Rollover หุ้นกู้ในช่วงนี้ด้วย
 

โดย บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ดัชนีหุ้นไทยในช่วงนี้ยังอยู่ในโหมดปรับฐาน หลังมีข่าวลบหลายเรื่องกดดัน โดยเฉพาะ Sentiment จากเรื่องของ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA)

 

*** กูรูผสานเสียง SET เสี่ยงทำจุดต่ำสุดใหม่ปีนี้

บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า หลังจากที่ดัชนีหุ้นไทยช่วงเช้าวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา ยังปรับตัวลงต่อเนื่อง โดยที่ไม่สามารถกลับตัวขึ้นไปยืนเหนือระดับ 1,300 - 1,310 จุดได้ ทำให้ในระยะถัดไป มีโอกาสที่จะเห็น SET Index ปรับตัวลงไปทดสอบจุดต่ำสุดของปีที่ช่วงดัชนี 1,281 จุด (SET Index ทำจุดต่ำสุดของปีเมื่อ 19 มิ.ย.67) ได้เหมือนกัน 


สอดคล้องกับ "รัฐศักดิ์ พิริยะอนนท์" นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เสริมว่า SET Index ในช่วงนี้ ยังถูกปัจจัยลบจากทั้งในประเทศ และต่างประเทศกดดัน ทำให้ระยะสั้นมีโอกาสที่ดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวลงไปทดสอบจุดต่ำสุดของปีนี้ที่ 1,280 จุดได้เหมือนกัน 


อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงต่อ SET Index มากที่สุดในช่วงนี้ ยังเป็นเรื่องความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่จะมี 2 คดีสำคัญรอตัดสินในช่วงต้นเดือน ส.ค.ที่จะถึงนี้ โดยให้น้ำหนักต่อการตัดสินคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรีของ "เศรษฐา ทวีสิน" จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นมากที่สุด ซึ่งวันที่ 14 ส.ค.นี้ หากมีคำตัดสินที่ไม่เป็นบวกกับนายกฯ ก็มีโอกาสที่ SET Index จะเคลื่อนไหวหลุดระดับแนวรับแรกที่ 1,280 จุด ไปทดสอบแนวรับถัดไปที่บริเวณ 1,200 จุด ได้เช่นกัน 


เช่นเดียวกับ บทวิเคราะห์ บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) มองว่า ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงไปเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 1,300 จุด ทำให้แนวโน้มในระยะสั้น SET Index ยังมีโอกาสปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับที่ 1,288 - 1,290 จุดได้ ซึ่งถ้าดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวหลุดระดับดังกล่าว จะมีแนวรับถัดไปที่ช่วงดัชนี 1,270 - 1250 จุด

 

*** แต่มองเดือนนี้ยังไม่ลงแรง เหตุมี Uptick ประคอง

บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ให้ความเห็นอีกมุมว่า การปรับตัวลงของดัชนีหุ้นไทยในช่วงนี้ ยังไม่มีแนวโน้มรุนแรงอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเห็นการทำงานของกฏ Uptick Rrule จากปริมาณการ Short Sell เดือนก.ค.นี้ เหลือเพียง 4.35% ของมูลค่าซื้อขาย (ค่าเฉลี่ยปีนี้ 11%) และนักลงทุนต่างประเทศเริ่มกลับมาซื้อทางตรงบ้าง (ซื้อสุทธิหุ้นไทยติดต่อ 5 วัน) ที่สำคัญกว่านั้น คือ เห็นเม็ดเงินที่มีการไหลเข้าผ่าน NVDR สูงถึง 1.2 หมื่นล้านบาท ตั้งแต่ต้นเดือน ช่วงพยุง SET Index ไม่ให้ปรับตัวลงแรงในเดือนนี้ได้ 


เช่นเดียวกกับ บทวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ที่มองว่า แม้ดัชนีหุ้นไทยช่วงนี้จะยังอยู่ในโหมดย่อตัวต่อไป แต่ยังมีสัญญาณที่อาจทำให้เบาใจได้ในระดับหนึ่ง และอาจทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงน้อยกว่าตลาดโลก คือ การที่ตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนหุ้นกลุ่ม Tech ระดับต่ำ รวมถึงเม้ดเงินลงทุนต่างประเทศ (Fund flow) ที่ไม่ได้มีท่าทีขายสุทธิออกมามากนักในช่วงหลัง ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับเงินบาทที่ปรับตัวแข็งแกร่งกว่าภูมิภาค 


นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังมีมาตรการ Uptick rule ที่ถูกบังคับใช้ โดยขนาดเมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่ดัชนีหุ้นไทย ปรับตัวหลุดระดับ 1,300 จุดลงมา ยังเห็นมูลค่าการ Short sell เพียงแค่ 1.5 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 5% ของปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเท่านั้น

 

*** ชี้ปัจจัยการเมืองจะกำหนดทิศทาง SET ระยะถัดไป

บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า แม้จะมีการประกาศไทม์ไลน์ของโครงการดิจิทัล วอลเล็ต แต่ก็เป็นข้อมูลที่น่าผิดหวังเพราะไม่มีความเคลื่อนไหวใหม่อัปเดท โดยมีเพียงไทม์ไลน์การลงทะเบียนเท่านั้น ส่วนคดีการเมืองจะได้ข้อสรุปในเดือน ส.ค.นี้ หลังศาลนัดลงวินิจฉัยทั้งคดียุบพรคก้าวไกลวันที่ 7 ส.ค. และคดีนายกฯ 14 ส.ค. 


ซึ่งมองบวกในแง่ไทม์ไลน์ที่จะได้ข้อสรุปอย่างชัดเจน โดยหากผลออกมาเป็นคุณในคดีนายกฯ เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะตอบรับเชิงบวก และทำให้อัปไซด์ระยะกลาง - ยาวเปิดกว้างขึ้น จากปัจจัย Overhang ที่หายไป โดยเฉพาะกลุ่ม Domestic Play


ด้าน บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส มองว่า 2 คดีใหญ่ทางการเมืองไทยมีผลต่อตลาดหุ้นไทยอย่างมาก โดยให้น้ำหนักไปที่คดีนายกฯมากสุด ถ้าศาลนัดฟังคำวินิจฉัยแล้วนายกฯถูกถอดถอน ตลาดหุ้นน่าจะถูกตีความในเชิงลบ เพราะคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปัจจุบัน จะพ้นสภาพไปด้วย และต้องมีการโหวตเลือกนายกฯใหม่ ซึ่งอาจกระทบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่เตรียมไว้ต้องชะลอออกไปเช่นกัน 


แต่ถ้านายกฯไม่ถูกถอดถอน การดำเนินนโยบายต่าง ๆ ยังเป็นไปตามกระบวนการตามปกติ ตลาดหุ้นไทย มีแนวโน้มจะตอบสนองเชิงบวก ขณะที่ การตัดสินยุบพรรคก้าวไกล ถ้ามีการยุบพรรค สส.ภายในพรรค สามารถย้ายพรรคได้ภายใน 60 วัน ซึ่งไม่น่าจะกระทบต่อฐานจำนวน ส.ส. ของพรรคร่วมรัฐบาล แต่หากไม่ถูกสั่งให้ยุบพรรค ท่าทีของพรรคฝ่ายค้านทางสภาฯ จะร้อนแรงและแข็งแกร่งมากขึ้น


สรุป ประเด็นความไม่แน่นอนทางการเมืองไทยยังต้องติดตามต่อ โดยจะรู้ผลลัพธ์ในเดือนหน้า จะเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดหุ้นไทยระยะถัดไป และในช่วงเวลาก่อนรู้ผล (ปัจจุบัน) น่าจะกดดันให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนต่อไป


ส่วน บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า มาตรการเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มาช้า และปัญหา EA รวมทั้งปัจจัยต่างประเทศ จากความกังวลต่อสงครามการค้า และเศรษฐกิจจีนยังไม่ฟื้น ที่ผิดไปจากคาดการณ์เดิม อาจทำให้การฟื้นตัวของ SET Index ช้ากว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดขึ้นในเดือน ก.ย.นี้

 

*** กลยุทธ์การลงทุนแนะ Selective หุ้นรายตัว

"รัฐศักดิ์ พิริยะอนนท์" ระบุว่า ถ้าดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงมาอยู่ในระดับ 1,280 จุด ถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะทยอยเข้าสะสมหุ้นได้เหมือนกัน แต่ต้องเลือกหุ้นเป็นรายตัว (Selective Buy) ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว จะช่วยต้านทานสถานการณ์ที่ดัชนียังผันผวน


สอดคล้องกับ บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ที่ระบุว่า กลยุทธ์ลงทุนในช่วงนี้ แนะนำเลือกหุ้นเป็นรายตัวที่มีแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/67 เติบโตโดดเด่นและมี ESG Rating สูง  อาทิ AOT, CHG, CPALL, CPN, GPSC, KCG, SHR, SJWD, TIDLOR และ TU


ด้าน บทวิเคราะห์ บล.กรุงศรี ระบุว่า กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำการลงทุนแบบระยะกลาง - ยาว ทยอยสะสมหุ้นในจุดที่มี Margin of Safety สูง ใน 2 ธีมเด่น ดังนี้

1.กลุ่มปันผลสูงให้ Dividend Yield มากกว่า 4%/ปี และธุรกิจมีความมั่นคง ได้แก่ SCB, AP, ICHI, PTT, BBL, INTUCH, ADVANC, HMPRO, BJC, WHA และ TU

2.หุ้นในกลุ่มที่ Underperform กว่าตลาดหุ้นไทย แต่พื้นฐานระยะกลาง - ยาวยังแข็งแกร่ง Valuation ถูก ได้แก่ BTS, IVL, LH, HMPRO, KCE, PTTGC, GPSC, HANA และ GULF


ส่วน บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ปิดท้ายว่า กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำสะสมหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว โดยเป็นหุ้นในกลุ่มที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และนักลงทุนต่างประเทศทยอยสะสมผ่าน NVDR อาทิ CPALL, ADVANC, KBANK, IVL, PTTGC, BGRIM, BH, AWC, GPSC, BEM, PLANB จะช่วยลดความเสี่ยงในช่วงดัชนีผันผวนในช่วงนี้ได้

แบบสอบถามความพึงพอใจ






ข่าวหุ้นอื่นๆที่น่าสนใจ

RECOMMENDED NEWS

ข่าวหุ้นยอดนิยม

Refresh




LATEST NEWS

ข่าวหุ้นล่าสุด

Refresh

ดูข่าวทั้งหมด