ไฮยีลด์บอนด์ (High Yield Bond) ใช้เรียกตราสารหนี้หรือหุ้นกู้ที่ อันดับเครดิตเรทติ้งต่ำกว่าระดับที่สามารถลงทุนได้ (Non Investment Grade) หรือต่ำกว่า BBB- ไปจนถึง กลุ่มที่ไม่มีการจัดอันดับเครดิต (Unrated Bond) ส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจขนาดกลาง-เล็กที่มีปัญหาการหาแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงิน จึงใช้วิธีการระดมทุนผ่านการขายหุ้นกู้แทน โดยจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นกู้ปกติ (มากสุดในระบบถึง 9.92%ต่อปี) เพื่อจูงใจนักลงทุน ปัจจุบันจะขายให้กลุ่มนักลงทุนสถาบันกับนักลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) เท่านั้น เพราะถือเป็นตราสารที่มีความเสี่ยงสูงมาก และมักเกิดปัญหาการผิดนัดชำระบ่อยครั้ง
*** ปีนี้เบี้ยวกันเพียบอีกแล้ว มูลค่ากว่า 1.9 หมื่นล้านบาท
ที่จริงปัญหาการผิดนัดชำระหุ้นกู้ทุเลาไปพักใหญ่ แต่ปีนี้กลับอักเสบขึ้นมาอีกแล้ว จากปัญหาเดิม ๆ คือ "ขาดสภาพคล่องทางการเงิน" โดยเฉพาะกลุ่ม บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มหุ้นกู้ประเภท High Yield Bond ทั้งนั้น มีทั้งเบี้ยวไม่จ่ายเลย, จ่ายได้บางส่วน และขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นกู้ขยายเวลาชำระรวมถึงปรับเงื่อนไขใหม่ ประกอบด้วย
1.บมจ.ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (ALL) : ผิดนัดชำระหุ้นกู้ 7 รุ่น รวมมูลค่าหนี้คงค้าง 2,334.20 ล้านบาท
2.บมจ.ช ทวี (CHO) : เคยผิดนัดชำระหุ้นกู้ 1 ชุด จนถูกเรียก Call Default ในหุ้นกู้ที่เหลือ ซึ่งมีทั้งสิ้น 4 ชุด มูลค่ารวม 745.69 ล้านบาท ยังดีที่ภายหลังผู้ถือหุ้นกู้ใจดี อนุมัติให้ยกเลิก Call Default พร้อมปรับเงื่อนไขใหม่ และยืดขยายเวลาชำระหนี้เพิ่มให้
3.บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) : ไฮไลต์ของปีนี้เลย เพราะนอกจากแต่งงบการเงินจนผิดเพี้ยน ยังผิดนัดชำระหุ้นกู้จำนวน 5 รุ่น รวมมูลค่าหนี้คงค้างถึง 9,198.40 ล้านบาท
4.บมจ.คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ (CGD) : รายนี้ขอผู้ถือหุ้นกู้ให้อนุมัติขยายระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ออกไปอีก 1 ปี และพิจารณาอนุมัติการแบ่งชำระคืนเงินต้นหุ้นกู้บางส่วน ของหุ้นกู้ 2 ชุดที่จะครบกำหนด ต.ค.นี้ โดยทั้ง 2 ชุด มีมูลค่าคงค้างรวม 669.7 ล้านบาท 5.บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป (JKN) : รายล่าสุด ไม่สามารถชำระหุ้นกู้รุ่น JKN239A ซึ่งครบกำหนดไถ่ถอน 1 ก.ย.ที่ผ่านมา สามารถจ่ายได้เพียง 156.6 ล้านบาทเท่านั้น จากมูลค่าเงินต้นและดอกเบี้ยรวม 609.98 ล้านบาท และจะขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นกู้ 29 ก.ย.นี้ เพื่อขยายเวลาชำระออกไป
กลุ่มนี้คือ บจ.ที่ยังซื้อขายกันปกติในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ก่อนที่จะมีปัญหา ซึ่งหลังจากแจ้งว่าผิดนัดชำระทำให้ราคาหุ้นโดยกระหน่ำขายสร้างความเสียหายมหาศาล บางรายก็โดยพักการซื้อขายยาวไปเลย บางรายกลับเทรดได้ แต่ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เรียกว่าสร้างความเสียหายหลายเด้งกระทบเป็นวงกว้าง
นี่ยังไม่นับรวมกลุ่มที่ถูกพักการซื้อขายอยู่แล้ว และกลุ่มบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยรายงานจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) พบว่า หุ้นกู้ที่มีการผิดนัดชำระหนี้ (Default Payment) ณ 1 ก.ย.66 มีอยู่ทั้งหมด 7 บริษัท จำนวน 23 รุ่น รวมมูลค่ากว่า 19,039.96 ล้านบาท
*** กระทบความเชื่อมั่น เสี่ยงโรลโอเวอร์ยาก
อริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ปัญหาการผิดนัดชำระหุ้นกู้ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะการออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิม (Roll Over) ของกลุ่มไฮยีลด์บอนด์ ที่หลายรายขายไม่หมด ขายได้ไม่เต็มวงเงินเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะนักลงทุนระมัดระวังความเสี่ยงมากขึ้น อย่างไรก็ตามหุ้นกู้กลุ่มที่อยู่ในระดับสามารถลงทุนได้ (Investment Grade) ยังสามารถขายได้ปกติ
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ประเมินว่า สถานการณ์หุ้นกู้กลุ่มไฮยีลด์บอนด์ขณะนี้น่าเป็นห่วง เพราะมีการผิดนัดชำระเกิดขึ้นหลายบริษัทเกินไป ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทำให้มีการชะลงทุนต่อหรือลงทุนในตราสารหนี้ตัวใหม่ที่ออกมาเพื่อโรลโอเวอร์ชุดเดิม แม้จะมีการเพิ่มผลตอบแทน แต่ความเสี่ยงการผิดนัดชำระเป็นเรื่องที่สำคัญหว่า แต่มองว่ายังไม่ถึงขั้นวิกฤติในตลาดหุ้นกู้ เพียงแต่จะกระทบความเชื่อมั่นระยะสั้นเท่านั้น
ด้านแหล่งข่าวผู้บริหารบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน ระบุว่า หุ้นกู้กลุ่มไฮยีลด์บอนด์ที่กำลังจะขายในช่วงที่เหลือของปีนี้ หากเป็น บจ.มีชื่อเสียง มีเครดิตเรตติ้งตั้งแต่ระดับ BBB ขึ้นไป อยู่ในกลุ่มธุรกิจไฟแนนซ์ หรือ บริษัทลูกในเครือธุรกิจขนาดใหญ่ อาจจะยังสามารถเสนอขายได้อยู่ แต่หากเป็น บริษัทนอกตลาดฯ หรือไม่มีชื่อเสียงมากพอ และไม่มีกลุ่มนักลงทุนประจำที่เหนียวแน่น รวมถึงมีเครดิตเรตติ้งระดับต่ำกว่า BBB มีโอกาสที่จะขายไม่หมด และขายยากขึ้น เพราะนักลงทุนจะระมัดระวังเป็นพิเศษ หลังจากมีการผิดนัดชำระเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
*** พบไฮยีลด์บอนด์จ่อครบดีลปีนี้กว่า 1.1 หมื่นล้านบาท
"สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" จึงได้สำรวจข้อมูลเพิ่มเติมจาก ThaiBMA พบว่า ช่วง 4 เดือนที่เหลือของปีนี้ มี 19 บจ. ที่หุ้นกู้ไฮยีลด์บอนด์ ถึงกำหนดชำระคืน มูลค่ารวมกัน 1.1 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย
จับตา 19 หุ้นกู้ไฮยีลด์บอนด์ จ่อครบกำหนดปีนี้
|
ชื่อย่อหุ้น
|
มูลค่า (ลบ.)
|
อันดับเครดิต เรทติ้ง*
|
%ดอกเบี้ย
|
จำนวน (ชุด)
|
หมดอายุ
|
MK
|
1,565
|
BB+
|
5.75
|
1
|
1-ธ.ค.
|
EP
|
1,520
|
BB+
|
5.25 - 5.6
|
2
|
17 ก.ย./1ต.ค.
|
THAI
|
1,000
|
n/a
|
3.66
|
1
|
23-ธ.ค.
|
MJD
|
950
|
BB
|
6.25 - 6.8
|
2
|
5 ต.ค./7 พ.ย.
|
CI
|
950
|
n/a
|
6.7
|
1
|
29-ธ.ค.
|
RML
|
752
|
n/a
|
6.3
|
1
|
11-ต.ค.
|
ANAN
|
746
|
BB+
|
4.5
|
1
|
2-ต.ค.
|
PF
|
672
|
n/a
|
6.8
|
1
|
10-พ.ย.
|
TNITY
|
402
|
n/a
|
3.3 - 3.8
|
3
|
8 ก.ย./3 พ.ย.
|
SA
|
400
|
n/a
|
6.8
|
1
|
29-ต.ค.
|
CHEWA
|
400
|
n/a
|
7.25
|
1
|
24-ธ.ค.
|
RICHY
|
378
|
n/a
|
6.8
|
1
|
3-ธ.ค.
|
KCC
|
350
|
n/a
|
6.5
|
1
|
12-ต.ค.
|
MICRO
|
349
|
BB+
|
5.25
|
1
|
29-ต.ค.
|
ECF
|
340
|
n/a
|
6.8
|
1
|
8-ธ.ค.
|
INET
|
300
|
n/a
|
5
|
1
|
9 ก.ย.
|
ASK
|
250
|
n/a
|
2.5
|
2
|
17-ต.ค.
|
GRAND
|
230
|
n/a
|
7.5
|
1
|
28-ต.ค.
|
CMO
|
100
|
n/a
|
6.5
|
1
|
27-พ.ย.
|
หมายเหตุ : ข้อมูลชุดนี้นำเสนอข้อเท็จจริงที่ปรากฎในสมาคมตราสารหนี้เท่านั้น
ไม่ได้มีเจตนาว่าหุ้นกู้ของ บจ.กลุ่มนี้จะไม่สามารถชำระหนี้ตามระยะเวลาได้แต่อย่างใด
ที่มา : สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (Thai Bma) ณ 1 ก.ย.66
*อันดับเครดิตเรทติ้ง จากทริส เรทติ้ง
|
*** เปิดกลยุทธ์ลงทุนหุ้นกู้
ทั้งนี้ "ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์" หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) แนะนำ 3 แนวทางพิจารณาลงทุนหุ้นกู้ ประกอบด้วย 1.ไม่นำเงินทั้งหมดไปลงทุนในไฮยีลด์บอนด์ เพราะมีความเสี่ยงสูง แม้จะจูงใจด้วยอัตรดอกเบี้ยมากแค่ไหนก็ตาม 2.ประเมินแนวโน้มบริษัทที่จะขายหุ้นกู้ให้รอบคอบ ทั้งผลการดำเนินงานที่ผ่านมาและในอนาคต และ 3. หากนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐยังไม่ได้ชัดเจนและยังเป็นด้านลบกับตลาดตราสารหนี้ หรือเป็นลบกับสภาพคล่องอาจจะต้องไม่เป็นต้องรีบร้อนเข้าไปลงทุน
เช่นเดียวกับ "อริยา ติรณะประกิจ" มองว่า ในภาวะเศรษฐกิจที่มีการชะลอตัว เมื่อบริษัทขนาดกลาง - ขนาดเล็กที่มีสายป่านไม่ยาวจะขายหุ้นกู้ นักลงทุนต้องมีการศึกษาให้ดี มากกว่าที่จะดูอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว ควรพิจารณาเรื่องของความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออก แม้ว่าแต่ละครั้งที่ออกหุ้น ก.ล.ต.จะให้มีการเปิดเผยข้อมูลเป็นหลักแล้วก็ตาม เช่น ดูความสามารถในการชำระหนี้ อัตราส่วนสภาพคล่อง อัตราส่วนรายได้เพียงพอที่จะควบคุมดอกเบี้ยจ่ายในแต่ละปีหรือไม่ แม้แต่ตัวผู้บริหารเองก็ต้องประเมินว่ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่ หรือบริษัทที่มีประวัติที่หวือหวาก็ต้องดูอย่างรอบครอบ เพราะบางบริษัทอาจจะมีการเน้นการเติบโต มีการลงทุนมาก ๆ ถ้าพิจารณาเป็นหลักทรัพย์การลงทุนในหุ้น ๆ ตัวนั้นอาจจะมีศักยภาพที่มีการเติบโตสูง และสภาพคล่องเป็นอย่างไร
ด้าน "ชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์" กรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (บลจ.) กสิกรไทย เพิ่มเติมว่า กลยุทธ์การลงทุนหุ้นกู้ของนักลงทุนสถาบันในขณะนี้ส่วนใหญ่คัดสรรการลงทุนหุ้นกู้ระดับ Investment Grade ขึ้นไป รวมถึงวิเคราะห์ศักยภาพของธุรกิจ โดยจะต้องมีหนี้สินไม่สูงเกินไป และมีสภาพคล่อง คัดเลือกธุรกิจ และผู้บริหารที่รู้จักเป็นอย่างดี ไม่ใช่แค่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป นอกจากนี้ก็จะไม่พิจารณาลงทุนหากเป็นหุ้นกู้ของบริษัทที่ไม่มีเครดิตเรทติ้ง