efinancethai

ประเด็นร้อน

"หุ้น Non-Bank" พุ่งแรงใกล้เต็มมูลค่า! โบรกฯแนะรอย่อตัว-ระวัง NPL

ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา หุ้น Non-Bank ปรับตัวขึ้นยกแผงเฉลี่ย 38% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นสูงสุดของ SET ด้วย รับอานิสงส์รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจ - ดอกเบี้ยใกล้พลิกเป็นขาลง แต่โบรกฯชี้ช่วงที่เหลือของปียังต้องระวังคุณภาพสินทรัพย์ - NPL ยังน่าห่วง อาจกดหุ้นระยะถัดไปได้ แต่ประเมินกำไรปี 67 - 68 เติบโตต่อเนื่อง หนุนโดยสินเชื่อโตแรง 10 - 20% แนะรอซื้อหุ้นพื้นฐานแกร่งตอนย่อตัว ชู "MTC" เด็ดสุดในกลุ่ม !

 

*** 1 เดือนล่าสุด หุ้น Non-Bank บวกยกแผงถึง 38%

ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจสินเชื่อ (Non-Bank) เป็นกลุ่มที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูงที่สุดเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยในช่วงดังกล่าว ราคาหุ้นกลุ่มสินเชื่อปรับตัวขึ้นเฉลี่ยถึง 38% ซึ่งการปรับตัวขึ้นดังกล่าว ยังเป็นระดับที่สูงกว่าการปรับตัวขึ้นของดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ที่ปรับตัวขึ้น 12% อีกด้วย
 

ตารางแสดงความเคลื่อนไหวราคาหุ้น

ชื่อย่อหุ้น

ราคาปิด 12 ก.ย. (บ.)

%chg 1 m

SCAP

2.3

119.05

HENG

1.58

59.60

MICRO

1.56

56.00

AMANAH

1.5

53.06

S11

2.58

48.28

NCAP

2.18

46.31

SAWAD

42

46.09

ASK

14.4

41.18

TIDLOR

17.8

30.88

ML

0.6

27.66

AEONTS

140

27.27

MTC

49.5

22.22

SAK

5.5

19.57

THANI

2.1

19.32

KTC

45.25

14.56

SGC

1.6

14.29

IFS

2.56

9.40


หากอ้างอิงจากข้อมูลความเคลื่อนไหวราคาหุ้นของกลุ่ม Non-Bank พบว่า ในช่วงดังกล่าว ราคาหุ้นทั้ง 17 บริษัทในกลุ่มสินเชื่อปรับตัวขึ้นทั้งหมด ตั้งแต่ 9.40 - 119.05% เลยทีเดียว 


โดย บมจ.ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล 1969 (SCAP) เป็นบริษัทที่ราคาหุ้นช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในกลุ่มถึง 119.05% รองลงมา คือ บมจ.เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล (HENG) ที่ราคาหุ้นช่วงดังกล่าวปรับตัวขึ้นถึง 59.60%


นอกจากนั้น ยังมีอีกถึง 6 บริษัทในกลุ่ม Non-Bank ที่ราคาหุ้นช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ปรับตัวขึ้นมากกว่า 40% ประกอบด้วย บมจ.ไมโครลิสซิ่ง (MICRO) ที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 56%, บมจ.อะมานะฮ์ ลิสซิ่ง (AMANAH) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 53.06%, บมจ.เอส 11 กรุ๊ป (S11) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 48.28%


ขณะที่ บมจ.เน็คซ์ แคปปิตอล (NCAP) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 46.31%, บมจ.ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 46.09% และ บมจ.เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง (ASK) ที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 41.18%

 

*** กูรูชี้มีแรงเก็งกำไรรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจ - ดอกเบี้ยขาลง 

"กรกช เสวตร์ครุตมัต" ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย ระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มสินเชื่อปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง เป็นเพราะนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรก่อนนายกรัฐมนตรีจะมีการแถลงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ


อีกทั้ง ยังตอบรับรายงานเงินเฟ้อไทยเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ที่ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ซึ่งประเด็นดังกล่าวอาจเป็นปัจจัยหนุนให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาในช่วงถัดไปได้ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนกู้ยืมของหุ้นในกลุ่มดังกล่าวปรับตัวลดลง และจะหนุนให้อัตราการทำกำไรสูงขึ้นในระยะถัดไปด้วย 


สอดคล้องกับ "ธนเดช รังษีธนานนท์" ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.พาย ที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้หุ้น Non-Bank ปรับตัวขึ้นมาอย่างร้อนแรงในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา คือ แนวโน้มดอกเบี้ยที่เป็นขาลง ประกอบกับ ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยที่ลดลง ภายหลังรัฐบาลเพิ่งแถลงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่อรัฐสภา


นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มดังกล่าว ยังมีเม็ดเงินซื้อกลับ หลังช่วงการรายงานงบการเงินไตรมาส 2/67 ถูกแรงขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยงต่อประเด็นหนี้เสีย (NPL) ที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง แม้ผลการดำเนินงานรวมของกลุ่มในช่วงดังกล่าวจะเติบโตแข็งแกร่งก็ตาม 

 

*** แนะระวังคุณภาพสินทรัพย์ แถมหุ้นมีอัพไซด์เริ่มแคบ 

บทวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุว่า มีมุมมอง "เชิงลบ" ต่อหุ้นในกลุ่มสินเชื่อมากขึ้น โดยลดคำแนะนำการลงทุนหุ้นกลุ่มดังกล่าวเหลือเพียง "น้อยกว่าตลาด" (เดิม "เท่ากับตลาด") เนื่องจากประเมินว่าคุณภาพสินทรัพย์ของกลุ่ม Retail Finance จะฟื้นตัวเพียงเล็กน้อยในช่วงที่เหลือของปีนี้ ขณะที่ หุ้นหลาย ๆ บริษัทในกลุ่มก็มีราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาอย่างร้อนแรง จนใกล้ราคาเป้าหมายของปี 67 แล้ว 


ขณะที่ บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส เสริมว่า มีมุมมองการลงทุน "น้อยกว่าตลาด" สำหรับกลุ่ม Non-Bank ตามมุมมองลบต่อระดับหนี้ครัวเรือนในประเทศไทยที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งจะกระทบต่อแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อ และจะกดดันคุณภาพสินทรัพย์ในระยะถัดไปด้วย 


ส่วน "ธนเดช รังษีธนานนท์" ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า สิ่งที่นักลงทุนต้องเฝ้าระวังต่อหุ้นกลุ่ม Non-Bank ในช่วงที่เหลือของปีนี้ คือ คุณภาพสินทรัพย์ และ NPL ที่ยังไม่ได้ปรับตัวลง โดยก่อนหน้านี้ที่ราคาหุ้นในกลุ่มปรับตัวขึ้นมา เพราะตลาดคลายกังวลต่อประเด็นดังกล่าวลงไป แต่ปัญหาดังกล่าวก็ยังไม่ได้หมดไป ดังนั้น หากในระยะถัดไปทิศทาง NPL ยังไม่ปรับตัวลดลง ก็มีแนวโน้มที่จะถูกนักลงทุนขายเพื่อลดความเสี่ยงลงได้เช่นกัน

 

*** จับตา ! ผลกระทบน้ำท่วมฉุดกำไรแค่ไหน ? 

บทวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ เสริมว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย ทำให้ ธปท. ขอความร่วมมือจากธนาคาร และองค์กรที่ไม่ใช่ธนาคารในการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยมีมาตรการที่อาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มสินเชื่อ ดังนี้


1.สินเชื่อบัตรเครดิต : ธนาคาร และผู้ที่ไม่ใช่ธนาคารสามารถลดอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำได้ไม่เกิน 12 เดือน สำหรับลูกค้าที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย


2.สินเชื่อทุกประเภท : ธนาคาร และผู้ที่ไม่ใช่ธนาคารสามารถช่วยปรับสัญญาเพื่อลด หรือยกเลิกค่าธรรมเนียมและปรับโครงสร้างสินเชื่อได้ โดยวงเงินสินเชื่อเหล่านี้ต้องได้รับการอนุมัติภายใน 12 เดือน นับจากวันที่พื้นที่ของลูกค้าได้รับการกำหนดให้เป็นเขตเสี่ยงภัยน้ำท่วม นอกจากนี้ ธปท. จะอนุญาตให้สินเชื่อเหล่านี้อยู่ในระยะเดียวกันกับก่อนที่ลูกค้าจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมด้วย


อย่างไรก็ตาม ยังมีมุมมอง "เป็นกลาง" ต่อประเด็นข้างต้น เนื่องจากประเมินว่า ลูกค้าที่อาจเข้าข่ายมาตรการช่วยเหลือน่าจะเป็นเพียงเปอร์เซนต์เล็กน้อยของพอร์ตโฟลิโอโดยรวม แม้ว่าจะขึ้นอยู่กับขนาดของน้ำท่วมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็ตาม ทั้งนี้ สำหรับมาตรการ "สินเชื่อทุกประเภท" หน่วยงานกำกับดูแลกล่าวว่าสามารถรักษาการจัดฉากสินเชื่อได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ให้กู้สามารถชำระคืนเงินกู้ได้ในแง่ของต้นทุนสินเชื่อ และช่วยให้ลูกค้าเลื่อนการกลายเป็น NPL ออกไป 12 เดือน

 

*** แต่ประเมินกำไรปี 67 - 68 ยังสามารถโตได้ต่อเนื่อง

"ธนเดช รังษีธนานนท์" ประเมินว่า กำไรสุทธิรวมของหุ้นในกลุ่ม Non-Bank ปี 67 ยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นจากปีก่อนได้ มีปัจจัยหนุนหลักจากอัตราการเติบโตของสินเชื่อรวมในกลุ่ม ที่มีแนวโน้มเติบโตราว 10 - 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องระวังเรื่องคุณภาพสินทรัพย์ และการตั้งสำรองหนี้สูญด้วยเช่นกัน


เช่นเดียวกับ บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ยังมีมุมมอง "เชิงบวก" ต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานของกลุ่ม Non-Bank ในช่วงปี 67 - 68 เนื่องจากประเมินว่าในช่วงดังกล่าว กำไรสุทธิรวมของกลุ่มสินเชื่อจะสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง 8.9% และ 13.8% จากปีก่อน ตามลำดับ เนื่องจากมองว่า กลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนจะเป็นคีย์หลักในการขับเคลื่อนผลการดำเนินงานของกลุ่ม จากการคาดหมายว่ากำไรกลุ่มจำนำทะเบียนปี 67 - 68 จะเติบโตแข็งแกร่ง 19.3% และ 19.1% จากปีก่อน ตามลำดับ


ขณะที่ คาดว่า กำไรสุทธิปี 67 - 68 ของกลุ่มสินเชื่อบัตรเครดิตจะเติบโตได้เพียงเล็กน้อยราว 3.5% และ 4.8% จากปีก่อน ตามลำดับ แต่กลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุก มีแนวโน้มว่ากำไรสุทธิปี 67 จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญราว 28.2% ก่อนจะฟื้นกลับมาเติบโตได้ในปี 68 ราว 15.9% 

 

*** แนะรอซื้อตอนย่อตัว - Selective หุ้นกำไรโตแกร่ง !    

"ธนเดช รังษีธนานนท์" ระบุว่า หุ้นหลาย ๆ บริษัทในกลุ่ม Non-Bank ปรับตัวขึ้นมาร้อนแรงจนใกล้จะถึงราคาเป้าหมายแล้ว ทำให้ทางกลยุทธ์จึงแนะนำนักลงทุนรอซื้อสะสมเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวลงจากนี้ โดยเลือกซื้อรายตัว (Selective Buy) หุ้นที่มีแนวโน้มกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่อง โดยมอง MTC เป็นหุ้น Top pick ของกลุ่ม


สอดคล้องกับ บทวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ที่ระบุว่า เลือกหุ้น MTC เป็นหุ้น Top pick ของกลุ่มสินเชื่อ เพราะประเมินว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ ตลาดน่าจะหันมาให้ความสนใจกับหุ้นที่มีคุณภาพสินทรัพย์ที่แข็งแกร่ง และมีผลการดำเนินงานมีแนวโน้มเติบโตขึ้นต่อเนื่อง โดยประเมินว่า การเติบโตกำไรสุทธิของ MTC จะโดดเด่นสุดในปี 67 สะท้อนจากหนี้เสีย และสินเชื่อของ MTC มีแนวโน้มดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 3/67 เพราะเน้นกลุ่มจำนำทะเบียนรถที่มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ
 

แบบสอบถามความพึงพอใจ






ข่าวหุ้นอื่นๆที่น่าสนใจ

RECOMMENDED NEWS

ข่าวหุ้นยอดนิยม

Refresh




LATEST NEWS

ข่าวหุ้นล่าสุด

Refresh

ดูข่าวทั้งหมด