โบรกเกอร์ปี 66 ขาดทุนอ่วมถึง 18 บริษัท หลังตลาดหุ้นไทยทรงกับทรุด ภาวะไม่ดี ฉุดวอลุ่มหายกว่า 30% แถมการแข่งขันสูง ซ้ำโดน HFT-โรบอท บีบค่าคอมฯ สุดต่ำ ขณะที่ธุรกิจปล่อยมาร์จิ้นก็ไม่สู้ดีหลังเจอเคสฉาว กูรูชี้ผ่านยุคทองไปแล้ว เหลือแค่ประคองตัว แต่ภาพรวมกองทุนสภาพคล่องยังแกร่ง ฟาก บลจ.ก็เหี่ยวไม่ต่างกัน พบ 8 แห่งขาดทุน หลังนักลงทุนแห่หนีหาสินทรัพย์ปลอดภัย-ผลตอนแทนดีกว่า แต่อุตสาหกรรมยังไม่น่าห่วง เชื่อปีนี้ฟื้น หลังเริ่มเห็นสัญญาณบวก
*** เปิดงบ บล.ปี 66 ขาดทุนกว่า 18 บริษัท
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" สำรวจงบการเงินปี 2566 ของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยไม่รวมประเภทการลงทุนเพื่อบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ปรากฏว่า มีถึง 18 แห่ง จากทั้งหมด 36 แห่ง (เฉพาะ บล.ที่อยู่ในการจัดอันดับการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) ที่ผลการดำเนินงานปี 66 มีผลขาดทุน
สรุปรายได้-กำไร ธุรกิจโบรกเกอร์ปี 66
|
บล.
|
รายได้ปี 66 (ลบ.)
|
%chg YoY
|
กำไรปี 66 (ลบ.)
|
%chg YoY
|
จีเอ็มโอ-แซด คอม
|
1,116
|
7
|
-763
|
ขาดทุนเพิ่มขึ้น
|
แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์
|
541
|
-13
|
-557
|
ขาดทุนเพิ่มขึ้น
|
บียอนด์
|
15
|
70
|
-499
|
ขาดทุนเพิ่มขึ้น
|
ดีบีเอส วิคเคอร์ส
|
758
|
6
|
-346
|
ขาดทุนเพิ่มขึ้น
|
ลิเบอเรเตอร์
|
45
|
6,433
|
-343
|
ขาดทุนเพิ่มขึ้น
|
ดาโอ
|
1,379
|
-25
|
-205
|
ขาดทุนเพิ่มขึ้น
|
พาย
|
1,388
|
-5
|
-171
|
พลิกขาดทุน
|
ทรีนีตี้
|
456
|
-31
|
-156
|
พลิกขาดทุน
|
ฟินันเซีย ไซรัส
|
1,524
|
-34
|
-153
|
พลิกขาดทุน
|
กรุงศรี
|
500
|
-29
|
-120
|
จาดทุนลดลง
|
อาร์เอชบี
|
436
|
-8
|
-102
|
ขาดทุนเพิ่มขึ้น
|
แมคควอรี*
|
204
|
20
|
-73
|
ขาดทุนเพิ่มขึ้น
|
เอเอสแอล
|
157
|
-20
|
-54
|
ขาดทุนเพิ่มขึ้น
|
ไอ วี โกลบอล
|
32
|
-53
|
-52
|
ขาดทุนเพิ่มขึ้น
|
ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล
|
1,298
|
-17
|
-46
|
พลิกขาดทุน
|
ไอร่า
|
382
|
-5
|
-35
|
ขาดทุนเพิ่มขึ้น
|
คิงส์ฟอร์ด
|
610
|
-33
|
-31
|
พลิกขาดทุน
|
ฟิลลิป*
|
432
|
-24
|
-25
|
พลิกขาดทุน
|
เอสบีไอ ไทย ออนไลน์
|
105
|
-24
|
4
|
-95
|
ซิตี้คอร์ป
|
263
|
4
|
26
|
-37
|
ซี แอล เอส เอ
|
353
|
-4
|
27
|
55
|
โกลเบล็ก
|
491
|
-17
|
30
|
-52
|
ทิสโก้
|
701
|
-19
|
85
|
-47
|
ยูโอบี เคย์เฮียน
|
1,144
|
-18
|
86
|
-61
|
กรุงไทย เอ็กซ์สปริง
|
1,200
|
-23
|
98
|
-23
|
ยูบีเอส
|
583
|
-46
|
190
|
-66
|
เอเชีย พลัส
|
1,638
|
-17
|
283
|
-38
|
อินโนเวสท์ เอกซ์
|
2,863
|
-22
|
309
|
44
|
ธนชาต
|
1,261
|
-16
|
313
|
-31
|
เมย์แบงก์
|
2,738
|
-6
|
394
|
-41
|
หยวนต้า
|
2,631
|
-6
|
465
|
-19
|
กสิกรไทย
|
2,029
|
-25
|
554
|
-45
|
เจพีมอร์แกน
|
1,820
|
24
|
757
|
70
|
บัวหลวง
|
3,610
|
-8
|
812
|
-29
|
เคจีไอ
|
3,797
|
-8
|
870
|
-16
|
เกียรตินาคินภัทร
|
4,777
|
-3
|
1,043
|
15
|
ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
หมายเหตุ : เฉพาะ บล.ที่อยู่ในการจัดอันดับการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
*งบการเงินครึ่งปี 66
|
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานปี 66 ของทั้ง 36 โบรกเกอร์ มีกำไรสุทธิรวมกัน 2,615 ล้านบาท ชะลอตัวลง 57% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมี 14 บล. ที่กำไรลดลงจากปีก่อน ขณะที่กลุ่มกำไรเติบโตจากปีก่อน พบว่ามีเพียง 4 บล. เท่านั้น
*** ภาวะตลาดทรุด-วอลุ่มหาย ฉุดรายได้-กำไร โบรกฯ วูบ
"ไพบูลย์ นลินทรางกูร" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป เปิดเผยว่า จากผลการดำเนินงานปี 66 ของโบรกเกอร์ที่ส่วนใหญ่มีผลขาดทุน ย่อมต้องแสดงถึงความน่ากังวลในอุตสาหกรรมโบรกเกอร์อย่างแน่นอน
เนื่องจากโบรกเกอร์มีหน้าที่พานักลงทุน และบริษัทจดทะเบียน (บจ.) เข้าสู่ตลาดหุ้น แต่การที่สุขภาพทางธุรกิจของโบรกเกอร์หลาย ๆ แห่งไม่สู้ดีนัก จะส่งผลถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งจะทำให้มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นลดลง ผลกระทบก็จะย้อนมาสู่โบรกเกอร์อีกเช่นกัน
สำหรับ ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจโบรกเกอร์มีผลการดำเนินงานค่อนข้างย่ำแย่ในช่วงหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา คือ สภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยที่เติบโตในระดับต่ำ หรือบางปีก็เติบโตได้ต่ำกว่าคาดการณ์ ทำให้ความน่าสนใจในแง่การลงทุนในตลาดหุ้นลดลงด้วย สะท้อนจากปริมาณการซื้อขายของปี 66 ที่ลดลงจากปี 65 ราว 30% ยิ่งเป็นสิ่งที่ตอกย้ำถึงผลการดำเนินงานโบรกเกอร์ที่ย่ำแยด้วย
*** HFT-โรบอท ป่วน แถมธุรกิจปล่อยมาร์จิ้น ความเชื่อมั่นหาย
ขณะที่ "ประกิต สิริวัฒนเกตุ" กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผลการดำเนินงานปี 66 ของโบรกเกอร์ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ คือ การซื้อขายของปีที่แล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นแบบใช้โรบอทเทรด (High frequency trading) ซึ่งมีค่าธรรมเนียมต่ำ
หรือบางทีไม่มีค่าธรรมเนียมเลยก็มี ทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมของโบรกเกอร์ในช่วงดังกล่าวลดลงอย่างมีนัยสำคัญด้วย ขณะเดียวกัน การที่มีการซื้อขายลักษณะดังกล่าวจำนวนมากในช่วงปี 66 ยิ่งทำให้นักลงทุนรายย่อยซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลักของโบรกเกอร์ขาดความมั่นใจ และหายออกไปจากตลาดหุ้นไทยด้วย
นอกจากนี้ ธุรกิจใหม่ ๆ ของโบรกเกอร์ที่พยายามแตกไลน์ออกไปเพื่อหวังเพิ่มรายได้มากขึ้นก็ไม่สามารถทำได้ดีอย่างที่คาดหวัง เช่น การปล่อยมาร์จิ้นก็ไม่ดีเลย เพราะเกิดเรื่องอื้อฉาวของหุ้น 2 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯขึ้น ขณะที่ การขายผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ก็ทำได้ยากกว่าที่ประเมินไว้ อีกด้วย
ส่วน "ไพบูลย์ นลินทรางกูร" ให้ข้อมูลอีกแง่มุมว่า การที่ปี 66 มีการทำชอร์ตเซล รวมทั้งใช้โปรแกรมเทรดจำนวนมาก ไม่ใช่ปัญหาหลักที่กระทบต่อผลการดำเนินงานของโบรกเกอร์โดยตรง ซึ่งปัญหาดังกล่าว เป็นเพียงสิ่งรบกวนเล็กน้อยเท่านั้นเกี่ยวกับผลการดำเนินงาน แต่เป็นปัญหาที่อาจกระทบต่อเรื่องความเชื่อมั่นของนักลงทุนรายย่อยมากกว่า
*** อุตสาหกรรมผ่านยุคทองไปแล้ว
ฟาก "ณรงค์เดช จันทรไพศาล" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไอร่า ยอมรับว่า การลงทุนหุ้นโบรกเกอร์ในจังหวะนี้ยังไม่น่าสนใจเท่าไรนัก โดยแนะนำนักลงทุนที่มีหุ้นโบรกเกอร์อยู่ควรหาจังหวะขายเมื่อราคาดีดจัวขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรมดังกล่าวได้ผ่านยุคทองไปแล้ว ในระยะถัดไปจะเห็นภาพของการทรงตัว กับ ค่อย ๆ ชะลอตัวลงเท่านั้น
"การที่จะหวังให้ธุรกิจโบรกเกอร์กลับมาสู่จุดรุ่งเรือง หรือใกล้เคียงยุคทองกับในอดีตมีทางเดียว คือ ประเทศไทยต้องมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจ ปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ตลาดหุ้นไทยกลับมามีความน่าสนใจลงทุนอีกครั้ง ธุรกิจโบรกเกอร์ก็จะได้รับอานิสงส์จากปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นด้วย" ณรงค์เดช กล่าว
*** ลุ้นปีนี้ฟื้น
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจโบรกเกอร์ในปี 67 มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นจากปี 66 ที่หลายคนมองว่าเป็นจุดที่แย่ที่สุดไปแล้วได้อยู่เหมือนกัน
โดย "ไพบูลย์ นลินทรางกูร" มองว่า ธุรกิจโบรกเกอร์ยังมีความหวังที่จะฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 67 สะท้อนจากงบการเงินบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1/67 หลายบริษัทออกมาดีกว่าคาดการณ์ของตลาด ประกอบกับ เศรษฐกิจในประเทศเริ่มมีความนิ่งมากขึ้น ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯมากขึ้น หนุนให้ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย/วัน เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกได้
ขณะเดียวกัน แนะนำว่าในยามที่ธุรกิจโบรกเกอร์กำลังอยู่ในช่วงแห่งความยากลำบาก แนวทางที่จะเอาตัวรอดไปได้ คือ ทุกโบรกเกอร์ต้องระมัดระวังเรื่องค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมากขึ้นอยู่แล้ว ประกอบกับ ต้องมองหาโอกาสใหม่ ๆ เช่น การลงทุนต่างประเทศที่อาจจะต้องปรับมาเป็นส่วนหนึ่งของการบริการ เพราะถ้าจะหวังพึงพาแต่การซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเพียงอย่างเดียว ดูจะเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ยั่งยืนเสียแล้วในยุคปัจจุบัน
เช่นเดียวกับ "ประกิต สิริวัฒนเกตุ" ที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ผลการดำเนินงานในอุตสาหกรรมโบรกเกอร์ช่วงไตรมาส 1/67 เริ่มฟื้นตัวขึ้นจากปีก่อนแล้ว เนื่องจากการซื้อขายแบบ High frequency trading ลดลงจากปีก่อน อีกทั้ง ตลาดหลักทรัพย์ฯมีการออกมาตรการใหม่ ๆ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนรายย่อย
แต่ ผลการดำเนินงานทั้งปี 67 จะดีขึ้นกว่าปีก่อนหรือไม่ กุญแจสำคัญอยู่ในเดือนมิ.ย.นี้ว่า จะสามารถนำเกณฑ์ Up-tick มาใช้ได้หรือไม่ เพราะถ้าสามารถใช้เกณฑ์ดังกล่าวได้ เชื่อว่า จะทำให้นักลงทุนรายย่อยมีความมั่นใจมากขึ้นที่จะกลับมาซื้อขายในตลาดหุ้นไทย รวมทั้งการออกกองทุน LTF ช่วงปลายปี ก็จะช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นได้อีกแรง ซึ่งเป็นผลบวกต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มโบรกเกอร์โดยตรง
อย่างไรก็ตาม โบรกเกอร์ยุคปัจจุบันก็ต้องมีการปรับตัวเพื่อเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่ไม่สดใสแบบนี้ด้วย แนะนำว่า ทุกโบรกเกอร์ต้องมีการพัฒนาระบบไอทีให้เอื้อกับโปรแกรมเทรด หรือมีโปรแกรมที่สามารถช่วยนักลงทุนค้นหาหุ้น และจัดพอร์ตลงทุนได้ ปัจจัยดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญที่โบรกเกอร์ต้องกล้าลงทุนเพื่อความอยู่รอดในวิกฤติแบบนี้
*** ก.ล.ต.ชี้ NCR ยังสูง
ด้าน "เอนก อยู่ยืน" รองเลขาธิการ และโฆษก ก.ล.ต. กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทหลักทรัพย์ทุกแห่ง ยังสามารถดำรงเงินกองทุนได้สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ โดยส่วนใหญ่ (ประมาณ 98% ของบริษัทหลักทรัพย์) สามารถดำรงเงินกองทุนได้มากกว่า 2 เท่า ของเกณฑ์ขั้นต่ำ แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีสินทรัพย์สภาพคล่องสุทธิเพียงพอชำระหนี้สินทั้งหมดที่มีต่อลูกค้า (ข้อมูล ณ 27 พ.ค.67)
ก.ล.ต. ได้มีการกำกับดูแล ติดตามสถานะการดำรงเงินกองทุนของ บล. เป็นรายวัน และกำกับดูแลระบบงานของ บล. ในหลายด้าน การให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน) บล. ต้องมีการบริหารความเสี่ยง ตั้งแต่การคัดเลือกหลักทรัพย์ที่ให้มาร์จิ้นได้, กำหนดอัตรามาร์จิ้นเริ่มต้นที่เหมาะสม มีการติดตามระบบมาร์จิ้นหากต่ำลงถึงระดับที่กำหนด ต้องเรียกหลักประกันเพิ่ม และหากต่ำลงไปอีก บล. สามารถบังคับขายหลักประกันได้
นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังติดตามการกระจุกตัวของหุ้นที่ปล่อยมาร์จิ้น สัดส่วนการปล่อยมาร์จิ้นเทียบกับเงินกองทุนของบริษัท เพื่อให้ในการประเมินความเสี่ยงของ บล. ตลอดจนผลกระทบต่อสภาพตลาด และระบบการซื้อขายโดยรวมด้วย
ทั้งนี้ ณ วันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา บล. มีเงิกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (NC) เฉลี่ยต่อรายที่ 1,520 ล้านบาท และอัตราเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (NCR) เฉลี่ยต่อรายที่ 282% (เกณฑ์ดำรง NCR ขั้นต่ำ 7%) ส่วนสินเชื่อในการซื้อหลักทรัพย์ในปัจจุบัน มีหลักประกันที่ครอบคลุมมูลหนี้สูงถึง 3 เท่า
*** ฟาก บลจ. รายได้-กำไร ทรุด เช่นกัน
ส่วนผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนในช่วงปี 66 ก็เจอผลกระทบเหมือนกับธุรกิจโบรกเกอร์ด้วยเช่นกัน โดยในช่วงดังกล่าวมีถึง 8 บลจ. จากทั้งหมด 25 บลจ. ที่รายงานผลการดำเนินงานขาดทุน โดยมี 3 บลจ.ที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนเพิ่มขึ้น และอีก 2 บลจ. ที่พลิกขาดทุน
สรุปรายได้-กำไร ธุรกิจบลจ.ปี 66
|
บลจ.
|
รายได้ปี 66 (ลบ.)
|
%chg YoY
|
กำไรปี 66 (ลบ.)
|
%chg YoY
|
เคดับบลิวไอ**
|
37
|
-42
|
-66
|
ขาดทุนเพิ่มขึ้น
|
จัสท์
|
44
|
-71
|
-27
|
ขาดทุนลดลง
|
ชาวาคามิ***
|
0.19
|
58
|
-25
|
ขาดทุนเพิ่มขึ้น
|
อเบอร์ดีน
|
441
|
-1
|
-19
|
ขาดทุนลดลง
|
เอ็กซ์สปริง
|
116
|
148
|
-15
|
ขาดทุนลดลง
|
เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์
|
82
|
5
|
-14
|
ขาดทุนเพิ่มขึ้น
|
ดาโอ
|
70
|
15
|
-3.18
|
ขาดทุนลดลง
|
ทาลิส
|
106
|
10
|
-0.2
|
พลิกขาดทุน
|
ฟิลลิป*
|
18
|
-32
|
0.66
|
-90.29
|
บางกอกแคปปิตอล
|
367
|
15
|
13
|
25.33
|
แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์
|
434
|
-4
|
34
|
-61.30
|
พรินซิเพิล
|
918
|
-5
|
124
|
-27.87
|
เอ็มเอฟซี
|
1,133
|
3
|
151
|
-11.05
|
แอสเซท พลัส
|
706
|
5
|
158
|
10.79
|
เกียรตินาคินภัทร
|
912
|
0.35
|
205
|
-2.48
|
วรรณ
|
984
|
8
|
232
|
16.22
|
ยูโอบี
|
1,733
|
-3
|
369
|
-19.74
|
กรุงไทย
|
2,601
|
-7
|
671
|
-15.98
|
ทิสโก้
|
1,710
|
6
|
699
|
3.97
|
อีสท์สปริง
|
3,449
|
110
|
717
|
192.75
|
เอไอเอ
|
2,009
|
7
|
846
|
-2.65
|
กรุงศรี
|
3,613
|
-3
|
1,250
|
-11.24
|
ไทยพาณิชย์
|
5,140
|
-2
|
1,263
|
-4.02
|
บัวหลวง
|
4,515
|
-2
|
1,385
|
-9.46
|
กสิกรไทย
|
7,814
|
0.16
|
2,799
|
-0.37
|
ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
*งบการเงินครึ่งปี 66
**งบปี 65 ตั้งแต่ 11 ก.ค. - 31 ธ.ค.65
***งบปีสิ้นสุด 31 ส.ค.66
|
สำหรับ ผลการดำเนินงานปี 66 ของทั้ง 25 บลจ. มีกำไรสุทธิรวมกัน 10,074 ล้านบาท ชะลอตัวลง 0.42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
*** นักลงทุนหนีไปหาสินทรัพย์ปลอดภัย
"ชวินดา หาญรัตนกุล" นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน เปิดเผยว่า สาเหตุที่ผลการดำเนินงานปี 66 ของ บลจ.ส่วนใหญ่มีกำไรลดลงจากปีก่อน เนื่องด้วยภาวะตลาดในช่วงปีดังกล่าวไม่เอื้ออำนวย ทำให้นักลงทุนรายย่อยหายไปจากการลงทุนในกองทุนรวม และหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยมากกว่า ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงขึ้นตามทิศทางดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับตัวขึ้นในช่วงนั้น
ขณะที่ แหล่งข่าวจากวงการตลาดทุน ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ผลการดำเนินงานของ บลจ. ปี 66 ที่ส่วนใหญ่มีกำไรสุทธิชะลอตัวลงจากปี 65 ยังไม่น่าเป็นกังวลมากนัก เพราะกำไรที่ลดลงก็ยังไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้ง สาเหตุที่กำไรส่วนใหญ่ลดลงก็เป็นไปตามภาวะตลาดที่ไม่ได้เอื้ออำนวย กองทุนส่วนใหญ่ไม่สามารถทำให้ AUM ขยายตัวได้ในภาวะดังกล่าว
ส่วน "สาห์รัช ชัฏสุวรรณ" รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.ทิสโก้ เสริมว่า การที่ผลการดำเนินงานของกลุ่ม บลจ. ในช่วงปี 66 ส่วนใหญ่มีกำไรสุทธิลดลง ยังไม่น่ามีความเป็นกังวลเท่าใดนัก เนื่องากผลการดำเนินงานของปีที่แล้วสอดคล้องกับสภาพสถานการณ์โดยรวมของอุตสาหกรรม
โดยปัจจัยหลักที่ทำให้ผลการดำเนินงานปีที่แล้วส่วนใหญ่ไม่ค่อยดี เป็นเพราะตลาดเพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการฟื้นตัว ซึ่งเป็นการฟื้นตัวที่ยังไม่ได้ดีมากเท่าไรด้วย โดยเฉพาะตลาดไทย กับ จีน ที่ บลจ.ส่วนใหญ่เข้าไปลงทุนกันเยอะถือว่าสถานการณ์ไม่ดีเลย อีกทั้ง ยังมีปัจจัยดอกเบี้ยที่รับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ดอกเบี้ยตราสารหนี้สูงตามด้วย ทำให้นักลงทุนหันไปให้ความสนใจการลงทุนที่ปลอดภัยกว่ากองทุน ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงขึ้นมากกว่า
**** มั่นใจปีนี้คัมแบ็ค
"ชวินดา หาญรัตนกุล" ขณะที่ แนวโน้มปี 67 คาดว่า ผลการดำเนินงานของ บลจ. ไทยมีแนวโน้มดีขึ้นจากปีก่อน สะท้อนจากสถานการณ์ล่าสุดที่เห็นมูลค่าการลงทุนในกองทุนรวมที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากมีนักลงทุนรายใหม่เข้ามามากขึ้น ส่งผลให้ผู้แนะนำการลงทุนมีความมั่นใจที่จะแนะนำให้นักลงทุนลงทุนในกองทุนรวมมากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ สถานการณ์ดอกเบี้ยในปี 67 ดูมีท่าทีชัดเจนมากขึ้น ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเหมือนปีที่ผ่านมาอีกแล้ว แต่มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยลง 1 ครั้งในปีนี้ด้วย ยิ่งเป็นอีกปัจจัยเสริมที่จะทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในกองทุนรวมมากขึ้นในปีนี้ แต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจเป็นตัวถ่วงได้เหมือนกัน อาทิ ปัญหาสงคราม และการเลือกตั้งของหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก
ทั้งนี้ สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยยังไม่เป็นไปตามสภาวะของโลก เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่าง ทำให้นักลงทุนสถาบันต่างประเทศยังไม่ให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากนัก จึงทำให้ประเมินได้เบื้อต้นว่า ผลการดำเนินงานของ บลจ. ไทยปีนี้ จะฟื้นตัวขึ้นจากปีก่อน แต่ยังไม่ใช่ระดับที่คึกคักเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
แหล่งข่าวจากวงการตลาดทุน เปิดเผยว่า เมื่อมองมาที่ผลการดำเนินงานปี 67 คาดการณ์ว่า กำไร บลจ. ส่วนใหญ่จะฟื้นตัวจากปีก่อนได้ มีปัจจัยหนุนจากภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจกองทุนจะดีตามขึ้นด้วย อีกทั้ง บลจ. หลาย ๆ แห่งมีแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์ทางเลือกมากขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับ บลจ. โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์ทางเลือกใหม่ จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีสภาพคล่องสูง อาทิ กองทุน บิทคอยน์ เป็นต้น
"สาห์รัช ชัฏสุวรรณ" กล่าวปิดท้ายว่า ผลการดำเนินงานของ บลจ. ปี 67 มีแนวโน้มดีขึ้นกว่าปี 66 มีปัจจัยหนุน จากตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่เริ่มกลับมาสู่การปรับตัวขึ้น หลังเริ่มเห็นสัญญาณดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ประกอบกับ เงินเฟ้อที่ลดลงด้วย ทำให้หุ้นหลายประเทศปรับตัวขึ้นได้ ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มมีความเชื่อมั่นมากขึ้น และพฤติกรรมของนักลงทุนก็เริ่มแบกรับความเสี่ยงได้มากขึ้นด้วย
ทั้งนี้ คาดหวังว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 67 ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย/วัน ในตลาดหุ้นไทย จะปรับตัวขึ้นจากครึ่งแรกของปีได้ หลังนักลงทุนต่างประเทศเริ่มมีทิศทางมั่นใจในตัวเศรษฐกิจไทยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในประเทศก็ยังมีความไม่แน่นอนทางด้านการเมืองอยู่ ซึ่งก็เป็นอีกปัจจัยที่อาจจะฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนได้เช่นกัน