efinancethai

ประเด็นร้อน

ลุ้น Fund flow กลับทิศ หลังเห็นสัญญาณบวก !

ลุ้น Fund flow กลับทิศ หลังเห็นสัญญาณบวก !

ตลท.เผยเริ่มเห็นสัญญาณ Fund flow ไหลเข้าหุ้นไทย หลังต่าชาติแห่พักเงินในตลาดตราสารหนี้ไทยมากขึ้น ฟากโบรกฯชี้มีหลายปัจจัยหนุน Flow กลับซื้อหุ้นไทยช่วงที่เหลือปีนี้ อาทิ งบ บจ. Q2/67 อาจดีกว่าคาด แถมหุ้นเทคสหรัฐฯเริ่มแพง ฉุดต้องลดพอร์ตกระจายลงทุนหุ้นตลาดอื่น - คาดปีนี้ Fed ลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง แต่แนะจับตาคำตัดสินคดีนายกฯ 14 ส.ค.นี้ จะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาของ Flow จะไหลกลับหุ้นไทยเร็วหรือช้า แนะสะสมหุ้นคาดตกเป็นเป้าหมายเงินไหลเข้า - ปันผลสูง

 

*** ปีนี้ต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 1.2 แสนลบ.

"สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" สำรวจการซื้อขายหุ้นไทยของนักลงทุนต่างประเทศ (Fund flow) ตั้งแต่ช่วงต้นปี (1 ม.ค. - 7 ส.ค.67)  พบว่า ปีนี้นักลงทุนต่างประเทศมีสถานะขายสุทธิหุ้นไทยถึง 119,961 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักเป็นเพราะการเติบโตเศรษฐกิจไทยปีนี้อยู่ในระดับที่ไม่ค่อยน่าสนใจเมื่อเทียบกับภูมิภาค อีกทั้ง ยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนอีกด้วย 

 

*** แต่ ตลท.ชี้เริ่มมีสัญญาณหนุน Flow ไหลกลับหุ้นไทยแล้ว

"ภากร ปีตธวัชชัย" กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ภาวะการลงทุนช่วงนี้มีความผันผวนสูงมาก ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนแตกตื่น แต่ขอให้ติดตามข้อมูลให้ดี เพราะมีทั้งความเสี่ยงและเป็นทั้งโอกาส โดยข้อมูล ณ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทย 1,666 ล้านบาท 


ซึ่งในระยะยาว หากดูภาวะเศรษฐกิจของไทยเชื่อว่ายังอยู่ในจุดที่มีอัพไซด์มากกว่าดาวน์ไซด์ เพราะเริ่มเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นหลาย ๆ ด้าน อาทิ การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว,ภาครัฐเริ่มมีงบออกมาใช้จ่ายได้ และปัจจัยเศรษฐกิจต่าง ๆ ก็เริ่มดีขึ้น เป็นต้น


ด้าน "ศรพล ตุลยะเสถียร" รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรตลาดหลักทรัพย์ฯ เสริมว่า ปัจจุบัน เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศเริ่มไหลกลับเข้ามาในประเทศไทยแล้ว โดยเป็นการพักเงินอยู่ในตลาดตราสารหนี้ (บอนด์) สัปดาห์ละประมาณ 20,000 ล้านบาท  


เช่นเดียวกับ "ไพบูลย์ นลินทรางกูร" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ ที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า มีความเป็นไปได้เหมือนกันที่ Fund flow จะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ หลังเริ่มเห็นสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอย นำไปสู่การขายทำกำไรหุ้นสหรัฐฯ และหุ้นโลกมากขึ้น ประกอบกับ ดัชนีหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา ปรับตัวลงมาอยู่ในระดับต่ำมากแล้ว ส่งผลให้โอกาสที่จะถูกนักลงทุนต่างประเทศเทขายหนัก ๆ เหมือนหุ้นสหรัฐฯเป็นไปได้ยาก


นอกจากนี้ พัฒนาการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ มีแนวโน้มดูดีขึ้นกว่าช่วงต้นปี สะท้อนจากภาคการท่องเที่ยว และส่งออกที่มีโมเมนตั้มดีขึ้น ประกอบกับ ภาครัฐฯจะเริ่มได้ใช้งบประมาณประจำปีสำหรับการเบิกจ่ายโครงการต่าง ๆ มากขึ้น 

 

*** ปัจจัยหลักหนุน Flow ไหลกลับ คือ งบ Q2/67 ดีกว่าคาด

"ศรพล ตุลยะเสถียร" เชื่อว่าปัจจัยสำคัญ ที่จะส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้นั้น คือ การรายงานกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2/67 หากออกมาดี และดีต่อเนื่องไปจนถึงช่วงไตรมาส 3-4 ของปีนี้ มีแนวโน้มสูงที่จะช่วยหนุนให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้มากขึ้น


ด้าน "ณรงค์เดช จันทรไพศาล" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไอร่า เสริมว่า เดิมที่ตลาดประเมินการรายงานงบการเงินไตรมาส 2/67 ของบริษัทจดทะเบียนไม่ได้สูงมากนัก ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่สามารถขยายตัวได้ดีเท่าที่ควร แต่ถ้าช่วงไตรมาส 2/67 บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่สามารถรายงานงบการเงินออกมาได้ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ก็อาจนำไปสู่การปรับประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ทั้งปี ของ บจ.ขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งประเด็นดังกล่าว จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทยมากขึ้นด้วย  


ส่วน บทวิเคราะห์ บล.กรุงศรี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/67 ของหุ้นใน SET ล่าสุด (7 ส.ค.67) ออกมาแล้ว 76 บริษัท โดยเป็นหุ้นที่มีคาดการณ์กำไรของตลาด 35 บริษัท ซึ่งในจำนวนนี้สามารถรายงานกำไรสุทธิช่วงดังกล่าวได้ดีกว่าคาดถึง 20 บริษัท, รายงานงบตามคาด 11 บริษัท และแย่กว่าคาดเพียง 4 บริษัท เท่านั้น  

 

*** หุ้นเทคฯสหรัฐฯเแพง - ดอกเบี้ยลง คาดเห็นเงินไหลเข้าหุ้นไทย

บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงปรับตัวลงต่อ โดยดัชนี NASDAQ ลบ 1% ต่างกับตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั่วโลกที่ส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก ประเมินว่า มีความเป็นไปได้หลายส่วน ที่จะเห็นการกระจายการลงทุนจากหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯมาที่หุ้นอื่น ๆ ทั่วโลกในช่วงที่เหลือของปี ด้วยปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้


1.กลุ่มหุ้นเทคโนโลยี 7 นางฟ้าสหรัฐฯช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ปรับตัวขึ้น 83 - 2,539% สูงกว่า ดัชนี NASDAQ ที่ปรับตัวขึ้น 83% และผลตอบแทน 10 ปี ปรับตัวขึ้น 456 - 21,615% สูงกว่า ดัชนี NASDAQ ที่ปรับตัวขึ้น 156% จนปัจจุบันมีสัดส่วนสูงถึง 20% ของหุ้นทั่วโลก (อิงข้อมูลจากดัชนี MSCI ACWI)


2.เม็ดเงินที่เคลื่อนย้ายเข้าไปในหุ้นสหรัฐฯ เยอะจนทำให้ล่าสุดหุ้นสหรัฐฯ มีสัดส่วนสูงเกือบ 65% ของตลาดหุ้นทั่วโลก (อิงจากดัชน MSCI ACWI) จึงน่าจะเห็นการลดสัดส่วนหุ้นสหรัฐในพอร์ตลงบ้าง หลังจากขึ้นมาแรง, P/E สูง, มีความกังวลเรื่อง RECESSION, และกังวลการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินจากการ UNWIND YEN CARRY TRADE


3.การเคลื่อนย้ายเม็ดเงินจากการ UNWIND YEN CARRY TRADE อาจจะยังไม่จบ แม้ปัจจุบันค่าเงินเยนจะย่อตัวลงมาอยู่บริเวณ 145 ดอลลาร์/เยน แต่ตอนธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เร่งขึ้นดอกเบี้ย ค่าเงินญี่ปุ่นอยู่บริเวณ 130 ดอลลาร์/เยน ดังนั้นหาก FED เร่งลดดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีอาจเห็นการ UNWIND YEN CARRY TRADE เพิ่มขึ้นกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า และค่าเงินเยน รวมถึงบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้


จากทั้ง 3 ปัจจัยข้างต้นที่กล่าวมา ทำให้หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ มีโอกาสถูกขายลดสัดส่วนพอร์ตลง เพื่อลดความเสี่ยง เรื่อง RECESSION, และกังวลการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินจากการ UNWIND YEN CARRY TRADE และอาจจะกระจายการลงทุนมาในประเทศอื่นรวมถึงไทยได้ เพราะมีโอกาสได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม


ด้าน "ไพบูลย์ นลินทรางกูร" มองว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยนโยบายลงถึง 3 ครั้งในปีนี้ โดยคาดว่าการประชุมรอบเดือน ก.ย.นี้ Fed จะลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาครั้งแรก ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ยิ่งเป็นอีกตัวกระตุ้นหนุนเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศให้ไหลเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น โดยระยะแรกจะเป็นการเข้ามาพักในตลาดตราสารหนี้ก่อน


ส่วน บทวิเคราะห์ บล.กรุงศรี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯที่เริ่มมีทิศทางพลิกเป็นขาลง หลังก่อนหน้านี้ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง จะหนุนภาพการมองหาผลตอบแทนจากตลาดหุ้นใหม่มากขึ้น โดย SET Index มีแนวโน้มจะได้รับอานิสงส์จากการไหลเข้าของ Fund flow ในระยะถัดไป หนุนให้ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้

 

*** แนะจับตาคำตัดสินนายกฯ กำหนดความเร็ว Flow ไหลเข้า 

"ไพบูลย์ นลินทรางกูร" กลับมากล่าวต่อว่า เงินจะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยมากแค่ไหนในช่วงที่เหลือของปีนี้ อาจต้องรอดูความชัดเจนการตัดสินคุณสมบัติความเป็นนายกรัฐมนตรีวันที่ 14 ส.ค.นี้ โดยหากนายกรัฐมนตรียังได้ดำรงตำแหน่งต่อ ก็จะทำให้เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลเข้าตลาดหุ้นไทยได้เร็วขึ้น เนื่องจากจะเกิดความเชื่อมั่นนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลที่สามารถทำได้แบบไร้รอยต่อ


อย่างไรก็ตาม หากนายกรัฐมนตรีถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง มองว่า เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศจะยังคงชะลอการไหลเข้าตลาดหุ้นก่อนในระยะสั้น เพื่อรอดูความชัดเจนในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีใหม่ว่าจะทำได้รวดเร็วแค่ไหน และมีศักยภาพในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเดิมได้ต่อเนื่องหรือไม่ Fund flow จึงจะตัดสินใจอีกครั้งเมื่อเห็นความชัดเจนต่อประเด็นดังกล่าว 


ขณะที่ บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ประเด็นคำตัดสินคดีการเมืองที่นักลงทุนมีความกังวล ผ่านไปแล้ว 1 คดี คือ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติยุบพรรคก้าวไกล เมื่อ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา แต่ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวผันผวนแต่อย่างใด โดยวันทำการดังกล่าวดัชนีหุ้นไทยยังปิดบวกได้ถึง 16 จุด ซึ่งได้แรงหนุนจากการกลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยของนักลงทุนต่างประเทศ 1,666 ล้านบาท

 

*** ชวนเก็บหุ้นบิ๊กแคปคาดเป็นเป้าหมาย Flow แถมปันผลสูง

บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า กลยุทธ์การลงทุน สำหรับธีมการไหลกลับเข้ามาของเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ คือ เน้นทยอยสะสมหุ้นที่นักลงทุนต่างประเทศเข้าสะสมผ่านบริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด (NVDR) เป็นหลัก โดยมีถึง 8 บริษัทในกลุ่มดังกล่าว ที่ราคาหุ้นช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ยัง Laggard ประกอบด้วย PTTGC, AWC, CRC, AOT, PLANB, KKP, SIRI และ BEM  


ด้าน บทวิเคราะห์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) แนะนำสะสมหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้่า เพราะมองว่า จะเป็นเป้าหมายในการพักเงิน หลังมีการย้ายเงินลงทุนออกจากกลุ่มเทคโนโลยีไปยังกลุ่มอื่น ๆ โดยยกให้ RATCH และ GUNKUL เป็นหุ้น Top picks 


ขณะที่ บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) แนะนำเข้าสะสมหุ้นขนาดใหญ่ (บิ๊กแคป) ที่มีแนวโน้มจ่ายเงินปันผล คิดเป็นอัตราผลตอบแทน (Dividend Yield) ระดับสูง โดยชอบ PTT และ ADVANC มากที่สุดในกลุ่มหุ้นดังกล่าว 

แบบสอบถามความพึงพอใจ






ข่าวหุ้นอื่นๆที่น่าสนใจ

RECOMMENDED NEWS

ข่าวหุ้นยอดนิยม

Refresh




LATEST NEWS

ข่าวหุ้นล่าสุด

Refresh

ดูข่าวทั้งหมด