efinancethai

ประเด็นร้อน

จับตาแรงเก็งกำไรหุ้นไฟแนนซ์-โรงไฟฟ้า-สื่อสาร-อสังหาฯ หลัง กนง.เซอร์ไพรซ์ลดดอกเบี้ย

จับตาแรงเก็งกำไรหุ้นไฟแนนซ์-โรงไฟฟ้า-สื่อสาร-อสังหาฯ หลัง กนง.เซอร์ไพรซ์ลดดอกเบี้ย

กนง.เซอร์ไพรซ์หั่นดอกเบี้ยลง 0.25% หนุน SET ปิดสิ้นวันบวกกระฉุดเกือบ 20 จุด โบรกเกอร์เชื่อดันดัชนีทะลุ 1,500 - 1,550 จุด จับตาแรงเก็งกำไรไหลเข้าหุ้น ไฟแนนซ์-โรงไฟฟ้า-สื่อสาร-อสังหาฯ ส่วนการประชุมรอบเดือน ธ.ค.ยังไม่มีสัญญาณลดดอกเบี้ยเพิ่ม แต่ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้

 

*** เซอร์ไพรซ์ ! กนง.ยอมหั่นดอกเบี้ย 0.25%

ล่าสุด "สักกะภพ พันธ์ยานุกูล" เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กนง.มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ต่อปี เหลือ 2.25% (เดิม 2.5% ต่อปี) โดยมีผลทันที นอกจากนี้ ยังปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้เพิ่มเป็น 2.7% (เดิมคาด 2.6%) ขณะที่ปี 68 คาดจีดีพีจะขยายตัวได้ 2.9% (เดิมคาด 3%)


โดยการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายดังกล่าวของ กนง. ถือเป็นการสร้างความประหลาดใจให้กับโบรกเกอร์ในตลาดหุ้นมาก เพราะก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่า กนง. จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายรอบนี้ที่ระดับ 2.5% ต่อไป เพื่อรอดูการใช้มาตรการการคลังของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจเสียก่อน


ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ปิดซื้อขาย 16 ต.ค.นี้ ที่ระดับ 1,485.01 จุด เพิ่มขึ้น 19.98 จุด หรือ 1.36% จากวันทำการก่อนหน้า 


 

*** กูรูชี้ลดดอกเบี้ยรอบนี้ หนุน SET ไปไกลสุด 1,550 จุด

"ณรงค์เดช จันทรไพศาล" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไอร่า ระบุว่า หลัง กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบายแบบน่าประหลาดใจ 0.25% ทำให้ตลาดหุ้นไทยได้รับ Sentiment เชิงบวกในระยะสั้น เบื้องต้นประเมินแนวต้านของดัชนีหุ้นไทยรอบนี้ที่บริเวณ 1,500 จุด ซึ่งถือเป็นแนวต้านเชิงเทคนิค และแนวต้านของ Fund flow ด้วย 


เช่นเดียวกับ "ณัฐพล คำถาเครือ" ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ที่มองว่า การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ในรอบประชุมล่าสุด ถือเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยในช่วงสั้น ประเมินว่า SET Index ในระยะนี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวทดสอบแนวต้านที่ระดับ 1,485 - 1,500 จุด ได้เช่นกัน


ขณะที่ "ประกิต สิริวัฒนเกตุ" นักกลยุทธ์การลงทุน กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ เสริมว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้ของ กนง. ถือว่าค่อนข้างประหลาดใจสำหรับตลาดโดยรวม แต่ส่วนตัวรู้สึกไม่แปลกใจเท่าไร เพราะประเมินไปก่อนหน้านี้แล่วว่าการประชุม กนง. รอบเดือน ต.ค.นี้ ควรจะต้องมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง หากอ้างอิงตามตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ


อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์ประเมินว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ กนง.จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในเดือน ธ.ค.ที่จะถึงนี้ ทำให้เป้าดัชนี ณ สิ้นปี จะอยู่ที่ราว 1,470 - 1,480 จุด แต่เมื่อมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายรอบเดือน ต.ค.นี้ ทำให้ SET Index มีอัปไซด์เพิ่มขึ้นเป็น 1,540 จุด


สอดคล้องกับ "กรภัทร วรเชษฐ์" ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.กรุงศรี พัฒนสิน ที่มองว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. รอบนี้ เป็น"บวก" ต่อสัญญาณนโยบายการเงิน-การคลังที่เริ่มสอดประสานอย่างที่ตลาดคาดหวัง ถือเป็นอัปไซด์ต่อเศรษฐกิจ และทำให้ Equity risk Premium ตลาดหุ้นไทยกว้างขึ้นถึง 3.62% ซึ่งจะทำให้ SET Index เร่งขึ้น สู่ดัชนีเป้าหมายสิ้นปีนี้ที่ระดับ 1,540 จุด โดยประเมินทุก ๆ  25 bps ที่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะเป็นอัปไซด์ต่อ SET Index ราว 45 - 50 จุด


ส่วน "ชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ" ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) คาดว่าในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ มีโอกาสเห็นดัชนีหุ้นไทยระดับแนวต้าน 1,500 จุด รับประเด็นลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด ส่วนเป้าหมายในช่วงสิ้นปีนี้มองแนวต้าน 1,530 และ 1,550 จุด ตามลำดับ ภายใต้ P/E 17.2 เท่า

 

*** เดือน ธ.ค.ยังไม่เห็นสัญญาณลดดอกเบี้ย แต่ใช่ว่าจะหั่นอีกไม่ได้ !

"ณัฐพล คำถาเครือ" กลับมากล่าวต่อว่า ยังต้องติดตามต่อในรอบประชุมเดือน ธ.ค.ที่จะถึงนี้ว่า กนง. จะมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีกรอบหรือไม่ แต่หากพิจารณาจากการปรับประมาณการตัวเลขเงินเฟ้อปี 68 ที่คาดไว้ที่ระดับ 1.2% ถือว่า ยังสอดคล้องกับมุมมองเดิมที่คาดไว้ที่ระดับ 1.3% ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก ทำให้ยังประเมินว่า กนง.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ตามเดิมในช่วงเดือน ธ.ค. ประกอบกับ นักวิเคราะห์ในตลาดก็ยังประเมินว่า กนง.จะลดดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ลงเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น 


ด้าน "ณรงค์เดช จันทรไพศาล" เสริมว่า ในการประชุม กนง. รอบเดือน ธ.ค.ที่จะถึงนี้ ประเมินว่า กนง.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามเดิมที่ระดับ 2.25% ต่อไป เนื่องด้วยตลาดยังประเมินว่า กนง.จะยังคงปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 1 รอบในปีนี้เท่านั้น ซึ่งหากอ้างอิงเหตุผลการลดดอกเบี้ยครั้งนี้ ถือ เป็นการปรับลดลงเพื่อแก้ปัญหาตัวเลขเศรษฐกิจ และให้สอดคล้องกับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเท่านั้น ดังนั้น จึงยังไม่เห็นสัญญาณการปรับลดดอกเบี้ยลงในรอบการประชุมครั้งถัดไป


อย่างไรก็ตาม หากหลังจากนี้ ที่ กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว แต่ตัวเลขเศรษฐกิจยังไม่ได้ดีขึ้นตามที่ประเมินไว้ หรือเงินบาทยังเเข็งค่าอยู่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มส่งออกที่เป็นรายได้หลักของประเทศ ก็ทำให้มีโอกาสที่ กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือน ธ.ค.อีก 1 รอบได้เช่นกัน 


ส่วน "ประกิต สิริวัฒนเกตุ" ให้ความเห็นอีกมุมว่า ในช่วงเดือน ธ.ค.นี้ ยังมีโอกาสที่ กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1 ครั้ง หากอ้างอิงจากตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ ณ ปัจจุบัน ที่ยังไม่ดีมากนัก 



 

*** โบรกฯส่วนใหญ่มองหุ้น"ไฟแนนซ์"รับอานิสงส์สูงสุด

"ณัฐพล คำถาเครือ" ระบุว่า หุ้นที่จะได้รับอานิสงส์จากการปรับลดดอกกเบี้ยนโยบายของ กนง.ในรอบนี้ มองว่า จะมีกลุ่มสินเชื่อ และโรงไฟฟ้า เพราะจะได้รับอานิสงส์จากต้นทุนดอกเบี้ยที่ลดลง ส่วนอีกหนึ่งกลุ่ม คือ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่มีแนวโน้มได้รับปัจจัยหนุนจากกำลังซื้อผู้บริโภคฟื้นตัวบ้าง ตามทิศทางดอกเบี้ยที่ลดลง 


ด้าน "ณรงค์เดช จันทรไพศาล" มองว่า กลุ่มหุ้นที่จะได้รับอานิสงส์จากการลดดอกเบี้ยนโยบายรอบนี้มากที่สุด คือ กลุ่มไฟแนนซ์ เนื่องจากต้นทุนในการกู้ยืมของหุ้นในกลุ่มบริษัทดังกล่าวจะปรับตัวลงตามทิศทางดอกเบี้ย ส่งผลให้อัตราการทำกำไรสูงขึ้น ส่วนหุ้นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบมากที่สุด มองว่า เป็นหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่มีการปล่อยสินเชื่อระดับสูง ซึ่งผลตอบแทนดอกเบี้ยสินเชื่อจะปรับตัวลดลงตามทิศทางดอกเบี้ย 


ฟาก "ประกิต สิริวัฒนเกตุ" กล่าวว่า กลุ่มหุ้นที่จะได้รับอานิสงส์จากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายรอบนี้มากที่สุด คือ กลุ่มหุ้นอสังหาริมทรัพย์ เพราะคาดจะทำให้กำลังซื้อผู้บริโภคฟื้นตัวขึ้นได้บ้าง, กลุ่มไฟแนนซ์ เพราะจะได้รับปัจจัยหนุนจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ทำให้อัตราการทำกำไรสูงขึ้น และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค จะได้รับประโยชน์จากกำลังซื้อฟื้นตัว ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ประเมินว่า จะไม่ได้รับผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญมากนัก เนื่องด้วยธนาคารก็จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงมาด้วย 


ส่วน "ธนเดช รังษีธนานนท์" Director of Research บล.พาย เสริมว่า หลังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. รอบนี้ กลุ่มหุ้นที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบมากที่สุด คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เพราะมีผลทันทีในตลาดเงิน


"ในตลาดการเงิน แบงก์ที่ปล่อยสินเชื่อในตลาดเงินถูกปรับลดทันที แต่หากในระยะถัดไป 4 ธนาคารขนาดใหญ่จะมีการปรับลดดอกเบี้ยในขาเงินฝาก และ ขาเงินกู้ แต่จะเท่าไหร่ มากน่อยแค่ไหน ก็ขึ้นกับพอร์ต และลูกค้าของแต่ละแบงก์ โดยเบื้องต้นคาดว่า การลดดอกเบี้ยครั้งนี้มีผลกระทบจำกัดต่อกำไรกลุ่มแบงก์" ธนเดช กล่าว


ขณะที่ กลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์ คือ กลุ่มไฟแนนซ์ และอสังหาฯ เพราะจะได้รับอานิสงส์จากต้นทุนดอกเบี้ยที่ลดลงส่งผลให้อัตราการทำกำไรเพิ่มขึ้น ประกอบกับ กำลังซื้อกลุ่มอสังหาฯมีแนวโน้มฟื้นตัว


เช่นเดียวกับ "ชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ" ที่ระบุว่า หลังการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. จะเป็นบวกต่อหุ้นหลายกลุ่มจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง หรือกลุ่มหุ้นที่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) สูง ทั้งอสังหาริมทรัพย์, ไฟแนนซ์, กลุ่มอ้างอิงการจับจ่าย, ธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก, โรงไฟฟ้ารวมถึงทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์(REIT)

 

*** วงการมองหุ้นไทยยังซื้อได้ มีลุ้นแรลลี่ต่อ พร้อมชี้เป้าหุ้นเด่น !

"ณรงค์เดช จันทรไพศาล" ระบุว่า กลยุทธ์การลงทุนหลังจาก กนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย มองว่า ทำได้หลายแบบ เพราะ Sentiment ของตลาดหุ้นเป็นบวกมากขึ้น ทำให้นักลงทุนระยะสั้น และระยะยาว ต่างสามารถเลือกใช้กลยุทธ์แบบที่ตนเองถนัดได้เลย แต่ยังต้องเน้น Selective หุ้นรายตัว แนะนำ KKP, TISCO, AEONTS, KTC, SAWAD และ MTC เป็นต้น 


ขณะที่ "ณัฐพล คำถาเครือ" กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ ยังแนะนำนักลงทุนซื้อหุ้นต่อได้ เนื่องจากในระยะสั้นยังเห็นสัญญาณการปรับตัวขึ้นของ SET Index จากทิศทางดอกเบี้ยที่เริ่มปรับตัวลง โดยแนะนำนักลงทุนสะสมหุ้นกลุ่ม ไฟแนนซ์, โรงไฟฟ้า และอสังหาริมทรัพย์


ด้าน "ประกิต สิริวัฒนเกตุ" ระบุว่า กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำนักลงทุนยังซื้อหุ้นได้ เพราะมองว่า SET Index ยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ต่อ หากอ้างอิงจากอัปไซด์ที่ประเมินไว้ที่ 1,540 จุด โดยแนะนำให้สะสมหุ้น Domestic play อาทิ กลุ่ม ค้าปลีก, โรงพยาบาล และสื่อสาร เป็นต้น 


ฟาก "กรภัทร วรเชษฐ์" แนะนำกลยุทธ์การลงทุน หุ้นที่จะได้รับอานิสงส์จากทิศทางดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลง อาทิ กลุ่มไฟแนนซ์ แนะนำ JMT, KTC และ AEONTS, กลุ่มโรงไฟฟ้า แนะนำ GULF กับ GPSC, กลุ่มหนี้สูงแนะนำ CPALL, TRUE และ IVL, กลุ่มอสังหาฯ แนะนำ AP, SIRI และ SC ปิดท้ายด้วยกลุ่ม High Yield แนะนำ ADVANCo กลุ่มเช่าซื้อ (จำนำทะเบียน, JMT, เครดิต การ์ด KTC, AEONTS)


ส่วน "ชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ" กล่าวทิ้งท้ายว่า หุ้นรายตัวที่แนะนำได้แก่ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์กลุ่มลูกค้าระดับกลาง - ล่าง แนะนำ SPALI และ AP จะทำให้กำลังซื้อเพิ่มขึ้น และ SIRI ซึ่งมีปัจจัยพื้นฐานดี, ค้าปลีก แนะนำ CPALL กับ CPAXT, ไฟแนนซ์ แนะนำ MTC ซึ่งมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ส่วน SAWAD ผลงานเริ่มฟื้นตัวขึ้นแล้ว
 

กลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก แนะนำ KKP เพราะมีสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์สูง และคาดว่าทิศทางผลการดำเนินงานจะออกมาดี, กลุ่มบัตรเครดิต แนะนำ KTC และ AEONTS ซึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยเรื่องต้นทุนทางการเงินบริษัทฯดีขึ้น, โรงไฟฟ้า แนะนำ BGRIM เนื่องจากราคาพักฐานก่อนหน้านี้ และกลุ่มกอง REIT ได้แก่ LHHOTEL ซึ่งมีจุดเด่นเรื่องผลตอบแทนดี จากอัตราการเข้าพักค่อนข้างดี WHAIR รับประเด็นบวกจากย้ายฐานการผลิต เช่าโรงงาน คลังสินค้าเพิ่ม

แบบสอบถามความพึงพอใจ






ข่าวหุ้นอื่นๆที่น่าสนใจ

RECOMMENDED NEWS

ข่าวหุ้นยอดนิยม

Refresh




LATEST NEWS

ข่าวหุ้นล่าสุด

Refresh

ดูข่าวทั้งหมด