efinancethai

ประเด็นร้อน

กูรูชี้ SET ยังอยู่ในโหมดปรับฐาน แนวรับลึกสุด 1,390 จุด เเนะสะสมหุ้นงบฯเข้าไฮซีซั่น !

กูรูชี้ SET ยังอยู่ในโหมดปรับฐาน แนวรับลึกสุด 1,390 จุด เเนะสะสมหุ้นงบฯเข้าไฮซีซั่น !

โบรกฯผสานเสียง SET เข้าสู่ช่วงปรับฐาน หลัง "โดนัลด์ ทรัมป์" หวนนั่งประธานาธิบดีสหรัฐฯพร้อมนโยบายดึงเม็ดเงินออกจากตลาดหุ้นเกิดใหม่ - งบฯบจ. Q3/67 อาจแย่กว่าที่คาด - การเมืองไทยเริ่มมีความกังวลมาากขึ้น คาดรอบนี้ SET Index อาจปรับตัวลงต่ำสุดที่ 1,390 จุด ลุ้น GDP ไทย Q3/67 ประกาศ 18 พ.ย.นี้ - การเมืองคลายกังวล หนุนดัชนีเด้งกลับ กลยุทธ์ลงทุนหลักช่วงนี้เน้นสะสมหุ้นงบฯเข้าไฮซีซั่นช่วงปลายปี 


*** 5 วันทำการล่าสุด SET Index ดิ่งถึง 37 จุด

ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ช่วง 5 วันทำการล่าสุด ปรับตัวลง 37 จุด หรือ -2.5% โดยช่วงดังกล่าว ดัชนีทำจุดต่ำสุดที่บริเวณ 1,443.32 จุด ของวันที่ 12 พ.ย.67


 

*** กูรูชี้หุ้นไทยกำลังปรับฐาน ให้แนวรับลึกสุด 1,390 จุด

"ณัฐพล คำถาเครือ" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ดัชนีหุ้นไทยกำลังอยู่ในช่วงภาวะของการปรับฐาน สะท้อนจากสถานการณ์ล่าสุด ที่มี 2 ปัจจัยหลักเข้ามากดดัน SET Index คือ เม็ดเงินลงทุนที่ไหลออกจากตลาดหุ้นทั่วโลก (ยกเว้นสหรัฐฯ) ย้ายไปสู่สินทรัพย์ดิจิทัล เนื่องจากมีการเก็งกำไรต่อประเด็นที่ "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ มีนโยบายสนับสนุนให้ใช้สินทรัพย์ดิจิทัลอย่างแพร่หลายมากขึ้น


ส่วนอีก หนึ่งปัจจัย คือ ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในช่วงไตรมาส 3/67 ที่ส่วนใหญ่ประกาศออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ จึงทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ลดลง สำหรับช่วงของการปรับฐานครั้งนี้ SET Index มีแนวโน้มจะทำจุดต่ำสุดได้ที่บริเวณ 1,440 จุด ขณะที่ แนวต้านในระยะนี้ ยังมองไว้ที่บริเวณ 1,500 จุด 


เช่นเดียวกับ "สรพล วีระเมธีกุล" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย ที่กล่าวว่า SET Index ล่าสุดกำลังอยู่ในช่วงของการปรับฐาน หลังการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯอีกครั้งของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ที่มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐขนานใหญ่ ทำให้ช่วงนี้เม็ดเงินลงทุนทั่วโลกส่วนใหญ่จึงไหลกลับไปที่สหรัฐฯ ส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยประเมินว่า เหตุการณ์ลักษณะนี้จะอยู่ต่อไปจนถึงปลายเดือน ม.ค.68 เป็นอย่างน้อย จนกว่า "โดนัลด์ ทรัมป์" จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการ 


ขณะที่ อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ SET Index ปรับตัวลงมา และถูกลดความน่าสนใจลง คือ การรายงานงบการเงินไตรมาส 3/67 ของบริษัทจดทะเบียนไทย ที่ส่วนใหญ่ประกาศงบการเงินออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้หลาย ๆ บริษัท เริ่มถูกปรับลดคาดการณ์กำไรลงมาแล้ว ทั้งนี้ประเมินการปรับตัวลงของ SET Index รอบนี้ มีแนวรับบริเวณ 1,390 - 1,410 จุด 


สอดคล้องกับ "มงคล พ่วงเภตรา" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์ลงทุนหลักทรัพย์ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ที่ระบุว่า SET Index เข้าสู่ช่วงการปรับฐานอีกรอบ จากความกังวลนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และจีนเองก็ยังไม่ออกมาตรการเศรษฐกิจตามที่คาดการณ์ ทำให้ในระยะถัดไป ดัชนีหุ้นไทน มีแนวรับที่ 1,438 จุด ตามลำดับ 


"ภราดร เตียรณปราโมทย์" นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การเมืองในประเทศไทย มีแนวโน้มร้อนแรงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นยุบพรรคเพื่อไทย รวมถึงความกังวลต่อการเป็นอิสระเดินหน้าโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจกดดันให้ตลาดหุ้นผันผวน และอาจเป็นแรงผลักดันให้เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ (Fund flow) ไหลออกได้


ทั้งนี้ เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลออกจากตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง 4 วันทำการ กว่า 5.9 พันล้านบาท ท่ามกลางเงินบาทที่อ่อนค่า รวมถึงสถาบันฯ ยังสลับมาขายสุทธิ 2 วันทำการราว 1.5 พันล้านบาท อีกทั้งยังเห็น DOWNSIDE ของการปรับประมาณการกำไรลง หลังกำไรบริษทัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 3/67 มีแนวโน้มลดลงทั้งเทียบปีก่อน และไตรมาสก่อน และยังต่ำกว่าคาดอย่างมีนัยสำคัญ 

 

*** ลุ้น GDP โค้งสามโตกว่าคาด - การเมืองคลายกังวล ดัน SET รีบาวด์

"ณัฐพล คำถาเครือ" กลับมากล่าวต่อว่า ในช่วงสั้น ถ้า SET Index จะฟื้นตัวกลับมาได้อีกครั้ง ต้องหาจุดเปลี่ยนให้ได้ก่อน ซึ่งอาจต้องหวังไปที่การประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 3/67 ของประเทศไทย ณ 18 พ.ย.นี้ หากตัวเลขดังกล่าวประกาศออกมาเติบโตโดดเด่นระดับ 3% ก็อาจทำให้ความเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทยกลับมาได้อีกครั้ง เนื่องจากจะมีแรงซื้อเข้าไปยังในกลุ่มหุ้นที่ถูกคาดการณ์ว่าจะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย


ขณะที่ อีก 1 ประเด็น คือ ต้องลุ้นให้ความกังวลทางการเมืองในประเทศคลายตัวลง หลังก่อนหน้านี้เริ่มส่งสัญญาณตึงเครียดมากขึ้น จากกรณีที่มีการร้องให้ยุบพรรคเพื่อไทย, คดี"ทักษิณ ชินวัตร", ความสัมพันธ์ของแกนนำรัฐบาลต้องมีสัญญาณที่ดีขึ้นกว่านี้ หลังก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทย และพรรครวมไทยสร้างชาติ เริ่มมีประเด็นต่อกันกรณีเกาะกรูด เป็นต้น 


โดยสัญญาณที่จะกำหนดทิศทางต่อประเด็นการเมือง อาจอยู่ในช่วง 22 พ.ย.นี้ ซึ่งคาดการณ์กันว่าศาลรัฐธรรมนูญ จะมีการรับ หรือ ไม่รับคำร้องยุบพรรคเพื่อไทย หากศาลฯไม่รับคำร้องดังกล่าว จะเป็น Sentiment บวกต่อตลาดหุ้นได้เช่นกัน 


ขณะที่ "ภราดร เตียรณปราโมทย์" เสริมว่า ความไม่แน่นนอนทางการเมืองไทย มักเป็นปัจจัยที่เข้ามากดดันตลาดหุ้นไทยตลอดในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากมีผลต่อความเชื่อมั่นภายในประเทศ รวมถึงการเดินหน้า นโยบายต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยด้วย 


ทั้งนี้ ต้องติดตามคำร้องทางการเมืองไทย “6 คำร้อง” ที่ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ พิจารณายุบพรรคเพื่อไทย-พรรคร่วมฯ โดยต้องจับตา กกต. จะยื่นคำร้องต่อให้ศาลฯ พิจารณาหรือไม่ คาดเห็นความคืบหน้าช่วงปลายเดือนนี้ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดการเคลื่อนไหวของ SET Index หลังจากนั้นได้ด้วย 


ฟาก "สรพล วีระเมธีกุล" มองว่า การที่ SET Index จะฟื้นตัวกลับมาได้ในระยะสั้น - กลางนี้ ต้องลุ้นให้รัฐบาลไทยมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา อาทิ แจกเงิน 1 หมื่นบาทเพิ่มเติม, มาตรการ LTV เพื่อช่วยกระตุ้นยอดซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศ รวมถึงต้องมีการลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1 ครั้ง ในรอบการประชุมเดือน ธ.ค.นี้ และที่สำคัญต้องลุ้นให้ Fund flow ไหลกลับเข้ามาบ้างด้วย จึงจะทำให้ SET Index กลับมารีบาวด์ได้อีกครั้ง 


 

*** ธีมกลยุทธ์ลงทุนหลัก เน้นสะสมหุ้นเข้าไฮซีซั่น

"ณัฐพล คำถาเครือ"  ระบุว่า กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ แนะนำลงทุนตามกระแสโลก อาทิ เก็งกำไรในสินทรัพย์ดิจิทัล โดยหุ้นที่มีความเชื่อมโยงต่อประเด็นนี้ที่น่าสนใจ คือ XPG หรือลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่กำลังเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของผลการดำเนินงานในช่วงปลายปี อย่างกลุ่มค้าปลีก, การท่องเที่ยวฯ แนะนำ CPAXTT, CPALL และ DUSIT เป็นต้น 


สอดคล้องกับ "เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม" รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส ที่นะนำให้นักลงทุนลดน้ำหนักการลงทุน และถือเงินสด บางส่วนราว 20% - 30% ของพอร์ตการลงทุน ในช่วงบริษัททยอยประกาศงบการเงินไตรมาส 3/67 ซึ่งจะมีความผันผวนสูง หลังส่วนใหญ่งบการเงินอ่อนแอกว่าคาด โดยหุ้นในกลุ่มที่ยังน่าสนใจเข้าลงทุนช่วงนี้ คือ หลุ่มที่ผลการดำเนินงานปลายปีเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น แนะนำ CENTEL, CBG, BDMS, MASTER และ PLANB เป็นต้น 


เช่นเดียวกับ บทวิเคราะห์ บล.ยูโอบีเคย์เฮียน ที่ระบุว่า หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจลงทุน ในช่วงที่เม็ดเงินลงทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทย ได้แก่ กลุ่มหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ที่มีแนวโน้มผลการดำเนินงานแข็งแกร่งในช่วงปลายปี แนะนำ AU, COCOCO, MEB และ VRANDA เป็นต้น


ส่วน "สรพล วีระเมธีกุล" กล่าวปิดท้ายว่า กลยุทธ์ลงทุนในช่วงนี้ แนะนำ หลีกเลี่ยงการลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ในดัชนี SET50 ออกไปก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะถูกขายทำกำไร และหมุนไปลงทุนในหุ้นขนาดกลางที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง โดยชอบ TASCO เพราะจะได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันดิบ (ต้นทุนผลิตยางมะตอย) ปรับตัวลง และ MTC ที่ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และมีหนี้เสียอยู่ในระดับต่ำ 
 

แบบสอบถามความพึงพอใจ






ข่าวหุ้นอื่นๆที่น่าสนใจ

RECOMMENDED NEWS

ข่าวหุ้นยอดนิยม

Refresh




LATEST NEWS

ข่าวหุ้นล่าสุด

Refresh

ดูข่าวทั้งหมด