ช่วงนี้ใครที่ไถฟีดเฟซบุ๊ค อาจเจอกับรูปของเหล่าซีอีโอบริษัทในตลาดหุ้น ที่จะมาพร้อมแคปชั่น"บริษัทของพวกเขากำลังเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้ามาลงทุน ด้วยเงินขั้นต่ำเท่านั้นเท่านี้" และให้ผลตอบแทนที่ไม่น่าจะมีที่ไหนให้ได้มาก่อน ...
พอลองกดเข้าไปดูในคอมเมนต์ ทุกคนก็จะเห็นกับเหล่าคอมเมนต์หน้าม้า ที่จะมาพิมพ์กันเป็นพรืด ด้วยข้อความซ้ำ ๆ ว่า สนใจครับ/ค่ะ - ขอรายละเอียด อะไรทำนองนี้ ซึ่งถ้าใครเจอโพสต์ลักษณะนี้ ก็ขอให้รู้ไว้เลยว่านี่คือการหลอกลงทุนแน่นอน
ปัจจุบันนี้ บรรดามิจฉาชีพ ได้มีการพัฒนาโฆษณาชวนเชื่อให้ดูมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยมักใช้กลยุทธ์เหมือนที่แอดกล่าวไปข้างต้นนั่นแหละ
ขณะที่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า นอกจากวิธีข้างต้นแล้ว ยังมีอีก 9 วิธี ที่มิจฉาชีพมักใช้สำหรับหลอกให้เหยื่อหลงเชื่อ มีอะไรบ้างตามแอดมาต่อเลยนะ
1.แอบอ้างโลโก้ตลาดหลักทรัพย์ฯ, สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.), บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หรือ บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ต่าง ๆ ให้ดูมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
2.การันตีผลตอบแทนระดับสูง เพื่อจูงใจให้ผู้ที่ไม่สามารถควบคุมกิเลศ และความโลภของตัวเองเข้าไปติดกับดัก
3.ทำตัวเป็นผู้รอบรู้ โดยอ้างตัวว่ารู้ข่าววงใน ทำให้ได้เปรียบนักลงทุนอื่น ๆ หรือได้โอกาสก่อนคนอื่น ๆ ซึ่งข้อนี้บอกเลยว่า ถ้ามีคนที่รู้ข้อมูลดังกล่าวจริง ๆ คงไม่มีใครเอาข้อมูลนี้มาแบ่งปันคนหมู่มากแน่นอน
4.อาศัยระบบเครื่อข่าย หาสมาชิกเพิ่มเติม โดยอ้างว่าได้รับผลตอบแทนจริงตามโฆษณา
5.ปลอมเว็บไซต์ หรือ แอปพลิเคชั่น เพื่อสวมรอยเป็นบัญชีอย่างเป็นทางการที่มีความน่าเชื่อถือ ตบตานักลงทุนที่มีข้อมูลไม่เพียงพอ
6.เร่งให้ตัดสินใจ เช่น จำกัดผู้เข้าร่วม เพื่อทำให้เหยื่อรู้สึกว่านี่คือโอกาสสุดพิเศษที่ไม่ได้มีมาเสนอบ่อย ๆ
7.สร้างกลุ่มโซเชียลมีเดีย นอกเหนือจากโซเชียลมีเดียที่เป็นทางการ เพื่อดำเนินการ อาทิ กลุ่มไลน์บัญชี / การเงินของบริษัทหลักทรัพย์ หรือ บริษัทจดทะเบียน
8.ให้โอนเงินผ่านบัญชีที่เป็นชื่อบุคคลธรรมดา แทนบัญชีของบริษัทหลักทรัพย์
9.หลอกให้ลงทุนเพิ่มเรื่อย ๆ กำหนดเงื่อนไขให้โอนเงินเพิ่มเมื่อต้องการนำเงินออก
ทั้งหมดทั้งมวลที่แอดเล่ามา ก็คือ วิธีที่มิจฉาชีพกำลังนิยมใช้หลอกตบทรัพย์เหยื่ออยู่ในขณะนี้นั่นเองนะ อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็พยายามไล่ปิดช่องโหว่ไม่ให้มิจฉาชีพทำงานได้ง่าย ๆ เหมือนกัน
สะท้อนจากหน่วยงานที่ถูกแอบอ้าง เช่น ตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือ ก.ล.ต. ก็เร่งประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนผ่านทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์ และออฟไลน์ที่จะสื่อสารออกไปได้ อีกทั้ง ยังมีการพยายามดำเนินคดีกับเหล่ามิจฉาชีพด้วย
ซึ่งในปี 2565 ตำรวจไซเบอร์ ก็ได้มีการไล่อายัดบัญชีม้าไปกว่า 5.8 หมื่นบัญชี และได้มีการปิดซิมหมายเลขโทรศัพท์มือถือลวงแสนกว่าเบอร์
ขณะที่ ในส่วนธนาคาร ก็ได้ใช้มาตรการยกเลิกการส่ง SMS, อีเมล, เฟซบุ๊ค ที่มีการแนบลิงค์ เพื่อลดโอกาสที่มิจฉาชีพจะหลอกให้ลูกค้ากดลิงค์อันตราย และขั้นตอนการยืนยันการทำธุรกรรมการเงินของลูกค้า ระบบของธนาคารจะเพิ่มเตือนก่อนการยืนยัน และแจ้งเตือนภัยรูปแบบใหม่ ๆ ให้ทราบ
นอกจากนี้ บางธนาคารได้ยกเลิกการให้บริการอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้งผ่านทางเว็บไซต์ เพื่อป้องกันการปลอมแปลงเว็บไซต์ อีกทั้ง ยังให้ประชาชนยืนยันตัวตนเพิ่มเติมด้วย Biometric comparison บน โมบายแบงก์กิ้ง เมื่อทำธุรกรรมที่มีมูลค่าสูง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการกำกับดูแลที่เข้มงวดมากขึ้น แต่มิจฉาชีพก็ยังมีการพัฒนากลยุทธ์ขึ้นทุกวัน ซึ่งหากใครที่ตกเป็นเหยื่อ และสูญเงินให้คนเหล่านั้นไปแล้ว บอกได้เลยว่าหนังชีวิตแน่นอน
เพราะว่า แม้ปัจจุบันประเทศไทยจะบังคับใช้พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 ที่ผู้เสียหายสามารถแจ้งธนาคารอายัดบัญชีปลายทางได้ทันทีที่ทราบ หรือภายใน 72 ชั่วโมง และสามารถแจ้งความได้ตลอด 24 ชั่วโมง แต่ในทางปฏิบัติแล้ว เป็นไปได้ยากที่จะได้เงินคืน
เนื่องจากผู้เสียหายกว่าจะทราบว่าถูกหลอก เวลาก็ผ่านไปนานแล้ว หรือ แม้แต้ผู้เสียหายจะรู้ตัวเร็ว ก็ไม่ทันมิจฉาชีพอยู่ดี เนื่องจากผู้เสียหายต้องประสานงานไปยังธนาคารที่เป็นบัญชีต้นทาง เพื่อให้ธนาคารประสานงานไปยังธนาคารปลายทางที่เงินถูกโอนออกไป ก็กินเวลาไปนานโขแล้ว
หรือแม้แต่ผู้เสียหายจะเดินทางไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ ก็ต้องรอต่อคิวแจ้งความ, ผ่านกระบวนการสอบสวน และดำเนินการแจ้งความบันทึกในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี
และยังต้องขอให้ตำรวจออกหมายเรียกพยานเอกสาร และขออายัดบัญชี ไปยังธนาคารของผู้รับโอน ซึ่งกว่ากระบวนการจะครบจบ เงินของเราก็ถูกมิจฉาชีพโอนไปเล่นแร่แปรธาตุไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้
ดังนั้น ภูมิคุ้มกันที่จะไม่ทำให้เราตกเป็นเหยื่อ ก็ต้องเริ่มที่ตัวเองเป็นสิ่งที่ดีที่สุดนั่นแหละ เริ่มแรก คือ ต้องตระหนักรู้ให้จงหนักว่าไม่มีการลงทุนใด ๆ หรอก ที่จะให้ผลตอบแทนสูง ๆ ภายในไม่กี่วัน
หรือแม้กระทั่งการติดตามข่าวสารอยู่ตลอดก็เป็นประโยชน์ เพราะจะทำให้ทราบถึงกลยุทธ์ที่เปลี่ยนไปของเหล่ามิจฉาชีพ สิ่งสำคัญที่สุด คือ อย่าด่วนโอนไว พึงละลึกไว้เสมอว่า เงินที่ออกจากกระเป๋าเราไปแล้ว ก็ยากที่จะได้คืนเช่นกัน
สำหรับบทความเตือนภัยชิ้นนี้ หลัก ๆ ก็มีประมาณนี้เนอะ ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนไม่มากก็น้อยเนอะ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เงินของทุกคนจะอยู่ในกระเป๋าอย่างครบถ้วน และถูกนำไปลงทุนในที่ ๆ ที่ถูกต้องจริง ๆ วันนี้ ไปก่อนเนอะ บ๊าย บาย ...