ครม. "เศรษฐา 1" เคาะ 4 นโยบายเร่งด่วนช่วยเหลือประชาชน-กระตุ้นเศรษฐกิจ ลดราคาพลังงานทั้งไฟฟ้า-น้ำมันดีเซล, พักหนี้เกษตร-SME แถมไฟเขียวฟรีวีซ่านักท่องเที่ยว จีน-คาซัคฯ งานนี้บริษัทจดทะเบียนได้รับอานิสงส์เชิงบวก และผลกระทบเชิงลบ หุ้นโรงไฟฟ้าอ่วม จับตากลุ่มการเงิน แต่หุ้นปั๊ม-โรงกลั่นคลายกังวล ฝั่งหุ้นท่องเที่ยวเริงร่า ค้าปลีก โลจิสติกส์ ก็ได้เฮด้วย
*** เปิด 4 นโยบายสำคัญ ครม. "เศรษฐา 1"
สำหรับนโยบายที่คาดส่งผลโดยตรงต่อบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ประกอบด้วย
1.ปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลง 2.50 บาทต่อลิตร กดราคาน้ำมันขายปลีกไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร มีผล 20 ก.ย. - 31 ธ.ค.66
2.ปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าเหลือ 4.10 บาทต่อกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง จาก 4.45 บาทต่อกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง เริ่มรอบบิล ก.ย. นี้เป็นต้นไป
3.พักหนี้เกษตรและผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นระยะเวลา 3 ปี
4.ฟรีวีซ่า (VISA) ชั่วคราว สำหรับนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนและคาซัคสถาน ตั้งแต่ 25 ก.ย.66 - 29 ก.พ. 67
*** หุ้นโรงไฟฟ้าอ่วมทั้งกลุ่ม
ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส ระบุว่า การลดค่าไฟฟ้าเหลือ 4.10 บาทต่อกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง จาก 4.45 บาทต่อกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ถือเป็นประเด็นเชิงลบกดดันหุ้นโรงไฟฟ้าทั้งกลุ่ม จะทำให้รายได้จากขายไฟฟ้าทั้งในส่วนของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ที่มีโครงสร้างราคาไฟฟ้าอิงกับค่า Ft ปรับตัวลดลง
แต่อย่างไรก็ตาม อาจยังต้องรอสรุปอย่างเป็นทางการว่าแนวทางการปรับลดค่าไฟครั้งนี้จะใช้วิธีการใด ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีรายละเอียดที่แน่ชัด
ทั้งนี้ หากรัฐบาลสามารถใช้วิธีการยืดการชำระหนี้ให้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ออกไป อาจส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ที่มีสัดส่วนขายไฟฟ้าให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมค่อนข้างสูง เช่น GPSC (30% ของรายได้รวม), BGRIM (27% ของรายได้รวม) และ GULF (13% ของรายได้รวม)
ทั้งนี้คาดกำไรขั้นต้นในงวดไตรมาส 4/66 จะลดลงจากเดิมที่เคยมีการประกาศลดค่า Ft ในงวด ก.ย. - ธ.ค.66 อยู่ที่ 66.89 สตางค์/หน่วย ซึ่งเมื่อรวมกับค่าไฟฐาน 3.79 บาท/หน่วย จะส่งผลให้อัตราค่าไฟต่อหน่วยสุทธิจะอยู่ที่ราว 4.45-4.46 บาทต่อกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง
เช่นเดียวกับ บทวิเคาะห์ บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ประเมินว่า การลดค่าไฟฟ้าเหลือ 4.10 บาทต่อกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ถือว่ารวดเร็วกว่าที่คาดไว้เดิม เนื่องจากคาดว่าสูตรค่าไฟฟ้าไม่รวมค่า AF จะเริ่มใช้ในงวดหน้าเดือน ม.ค. - เม.ย.67 และตัวเลข 4.10 บาท อยู่ ณ กรอบล่างที่ตลาดประเมิน จะทำให้เกิดแรงขายในหุ้นโรงไฟฟ้า SPP เช่น GPSC และ BGRIM ต่อ
"จักรพงศ์ เชวงศรี" นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน บล.กสิกรไทย เพิ่มเติมว่า นโยบายการปรับลดค่าไฟฟ้าจะต้องลด Ft เพิ่มอีก 10 สตางค์/หน่วย เพื่อทำให้ค่าไฟฟ้าเป็น 4.10 บาท ซึ่งทุก ๆ 10 สตางค์ จะกระทบกำไรของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP อยู่ประมาณ 5 - 8% นั่นคือ BGRIM และ GPSC แต่หากเป็นกลุ่มโรงไฟฟ้า IPP เช่น EGCO, GULF, RATCH จะกระทบกำไรราว 2 - 3% แนะนำ เลี่ยงหุ้นโรงไฟฟ้าไปก่อนจากการถูกมาตรการรัฐเข้าแทรกแซง หรือหากจะลงทุนให้ให้เลือกกลุ่มโรงไฟฟ้า IPP เพราะเจอความเสี่ยงน้อยกว่า
ขณะที่ "กิจพณ ไพรไพศาลกิจ" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล. ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ประเมินว่า การปรับลดค่าไฟฟ้าจะกระทบกับกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าที่ขายให้กับภาคเอกชน หรือ โรงไฟฟ้าแบบ SPP และกลุ่มพลังงานทดแทน เช่น EA, GPSC และ BGRIM แต่มองว่าเป็นปัจจัยกดดันระยะสั้น
*** หุ้นปั๊มน้ำมัน-โรงกลั่นคลายกังวล
บทวิเคาะห์ บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) เผยว่า การลดราคาน้ำมันดีเซลโดยใช้กลไกการลดภาษี ถือว่าเป็นบวกอ่อนๆ ต่อหุ้นสถานีบริการน้ำมันเช่น OR และ PTG เพราะไม่ได้มีการแทรกแซงค่าการตลาด ซึ่งปัจจุบันอยู่ระดับ 1.9-2.0 บาท/ลิตร แต่เป็น การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตแทน
ด้าน "อดิสรณ์ มุ่งพาลชล" นักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) มองว่า แม้การลดราคาลดน้ำมันดีเซลโดยใช้กลไกภาษีสรรพสามิต จะทำให้ผู้ค้าปลีกน้ำมันไม่ได้รับผลกระทบ แต่หากมีการปรับลดราคาน้ำมันเบนซินในอนาคต มีโอกาสที่จะใช้กลไกการลดผ่านค่าการตลาด หากเป็นเช่นนั้นจะกระทบกับ OR มากที่สุด ตามปริมาณการขายที่มากที่สุด และมีมุมมองเป็นกลางกับ PTG, BCP
ทั้งนี้โดยรวมมองว่ากลุ่มค้าปลีกน้ำมันจะยังอยู่ในภาวะกดดันไปจนถึงสิ้นปี 66 เนื่องจากแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เป็นขาขึ้น แต่ราคาขายน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศมีการควบคุมจากภาครัฐ คงมุมมองต่อกลุ่มต้นน้ำและโรงกลั่นน่าสนใจมากกว่า อาทิ PTTEP, TOP และ SPRC
ฝ่ายวิจัย บล. เอเซีย พลัส เสริมว่า การปรับลดราคาน้ำมันดีเซลดังกล่าว เป็นการปรับลดผ่านการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ซึ่งปัจจุบันภาครัฐจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 5.99 บาท/ลิตร ดังนั้น ภาครัฐยังสามารถใช้กาษีสรรพสามิตรเป็นกลไกในการช่วยให้ราคาน้ำมันปรับลดลงเหลือไม่เกิน 30 บาท/ลิตรได้ โดยไม่กระทบต่อกลุ่มโรงกลั่นหรือผู้ประกอบการค้าปลีกน้ำมันแต่อย่างใด จะกระทบเพียงภาครัฐที่รายได้จากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจะลดลง โดยการประกาศลดภาษีสรรพสามิตดีเซล 2.50 บาท/ลิตร จะทำให้ราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 31.94 บาท/ลิตร ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 29.44 บาท/ลิตร
*** หุ้นท่องเที่ยวเฮรับฟรีวีซ่า จีน-คาซัคฯ
บทวิเคาะห์ บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ระบุว่า นโยบายไฟเขียวฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีน-คาซัคสถานชั่วคราว 5 เดือน เป็นบวกกับหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น ERW, AOT, SPA และ CENTEL โดยมีสัดส่วนรายได้ที่เกิดจากนักท่องเที่ยวต่างชาติสูง 80%, 65% 60% และ 40% ตามลำดับ
ขณะที่ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) มองบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยว เพราะนโยบายฟรีวีซ่า จะช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นได้อย่างโดดเด่น เพราะเป็น Golden week ของจีน (1-7 ต.ค. 23) รวมถึงช่วงตรุษจีน (8-10 ก.พ. 24) ประกอบกับเป็นช่วง High season ของไทยช่วง ไตรมาส 4/66 และ ไตรมาส 1/67
ทั้งนี้กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนมีสัดส่วน 7 เดือนปี 66 อยู่ที่ 12% หรือ 1.9 ล้านคน ขณะที่สัดส่วนนักท่องเที่ยวคาซัคสถาน อยู่ที่ 0.7% หรือ 1 แสนคน โดยหุ้นในกลุ่มโรงแรมที่จะได้รับผลบวกจากมากไปน้อยเรียงตามสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนที่มาเที่ยวในประเทศไทย ได้แก่ ERW, CENTEL, MINT, SHR และกลุ่มการบิน ได้แก่ AAV, AOT และ BAFS สำหรับหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและการบินยังให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “เท่ากับตลาด”
*** ค้าปลีก-โลจิสติกส์ รับอานิสงส์ด้วย
"กิจพณ ไพรไพศาลกิจ" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล. ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ประเมินว่า นโยบายรัฐบาลใหม่ ครม. "เศรษฐา 1" เช่น การปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล จะส่งผลดีต่อกลุ่มโลจิสติกส์และบริการขนส่ง เพราะทำให้ต้นทุนปรับตัวลดลง ซึ่งหุ้นที่ได้ประโยชน์ เช่น MENA , ATP30 รวมการปรับลดค่าไฟฟ้า น่าจะมีผลต่อปรับลดค่า FT ทำให้ต้นทุนพลังงานของธุรกิจค้าปลีกมีโอกาสปรับลดลง หุ้นที่ได้ประโยชน์ เช่น CPALL ,CPAXT,CRC เป็นต้น
ขณะเดียวกัน ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส มองว่า นโยบายลดราคาพลังงาน ทั้งค่าไฟและน้ำมันดีเซล หนุนต้นทุนธุรกิจลดลงได้ นำโดยกลุ่มค้าปลีก BJC , CPALL , CRC และ CPAXT หรือ หุ้นได้ประโยชน์จากความต้องการใช้รถบรรทุกเพิ่ม ได้แก่ TIDLOR, THANI
เช่นเดียวกับ บทวิเคาะห์ บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ประเมินว่า การลดราคาพลังงาน จะเป็นบวกกับกลุ่มโลจิสติกส์ และ เช่าซื้อรถบรรทุก (ASK MICRO THANI)
*** พักหนี้เป็นปัจจัยลบต่อกลุ่มการเงิน
บทวิเคาะห์ บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ระบุว่า นโยบายพักหนี้ จะเป็นลบอ่อน ๆ ต่อกลุ่มการเงิน อาทิ จำนำทะเบียนและเช่าซื้อ (MTC SAWAD TIDLOR HENG SAK) ในแง่ Loan Growth แต่จะช่วยเรื่อง Asset Quality ในอนาคต แต่หุ้นทั้งกลุ่มเทรดอยู่ในโซนล่าง หรือ Valuation ค่อนข้างถูก จึงจะเกิดแรงขายเบากว่า
ด้านฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่า กรณีพักชำระหนี้ลูกหนี้เกษตรกร ทำผ่านธนาคารรัฐ จึงไม่มีผลต่อหุ้นธนาคารเอกชน และกลุ่ม Non – Bank โดยมาตรการดังกล่าว หนุนกำลังซื้อกลุ่มเกษตรกร หากอยู่บนความเชื่อที่ว่าเงินส่วนที่ได้พักชำระหนี้จาก ธ.ก.ส. จะถูกนำมาชำระคืนหนี้ให้กับกลุ่ม Non-Bank ที่มีฐานลูกค้าเกษตรกร คาดช่วยลดแรงกดดันด้าน NPL ให้กับ MTC, SAWAD และ TIDLOR อย่างไรก็ตามต้องผลการศึกษาละเอียดที่ชัดเจนกว่านี้