โบรกฯส่วนใหญ่มองสิ้นเดือน ก.ย.นี้ มีโอกาสเกิด Window Dressing สูง เหตุมีปัจจัยหนุนอย่างการเข้าซื้อหุ้นของกองทุนวายุภักษ์ช่วงต้นเดือน ต.ค.รออยู่ แถม Flow ยังมีแนวโน้มไหลเข้าต่อ ชี้มีสภาพคล่องเข้ามาหนุน SET ไม่ให้หลุดระดับ 1,450 จุด อีกทั้งยังมีลุ้นดันดัชนีหุ้นไทย ณ สิ้นปีแตะระดับ 1,510 จุด แต่ติงงบฯรวม บจ. Q3 เข้าโลว์ซีซั่น อาจกระทบเม็ดเงิน - การตัดสินใจทำ Window Dressing ได้เหมือนกัน แนะกลยุทธ์ลงทุนเก็บหุ้น Domestic Play แนวโน้มกำไร H2/67 โตแกร่ง ช่วงดัชนีย่อตัว !

*** ใกล้จบ Q3/67 ลุ้นเกิด Window Dressing

ในช่วงก่อนปิดงบการเงินทุกสิ้นไตรมาสหรือสิ้นปี นักลงทุนสถาบันหรือกองทุนรวมมักใช้กลยุทธ์การทำหรือไม่ทำอะไรบางอย่าง เพื่อทำให้ตัวเลขผลการดำเนินงานออกมาดูดี หรือทำให้สัดส่วนการลงทุนเป็นไปตามที่ประกาศไว้ในนโยบายกองทุน หรือให้นักลงทุนรู้สึกดีเมื่อเห็นว่ากองทุนนี้มีการลงทุนในหุ้นที่ดี มีอนาคตสดใส เช่น เพิ่มการซื้อหุ้นที่นักลงทุนสถาบันหรือกองทุนนั้น ๆ ถืออยู่แล้ว เพื่อพยายามให้ราคาปิดหุ้นปรับตัวสูงขึ้น และเมื่อกองทุนคำนวณมูลค่าทรัพย์สินตามราคาตลาดที่ปิด ณ สิ้นวัน ก็ส่งผลให้ราคาหน่วยลงทุนของกองทุนสูงขึ้นไปด้วย

ส่วนอีกแนวทาง คือ นักลงทุนสถาบันอาจขายหุ้นตัวที่ขาดทุนมาก ๆ ออกไป พร้อมกับซื้อหุ้นตัวที่มีแนวโน้มราคาจะปรับตัวสูงขึ้นมาก ๆ มาเข้าพอร์ตแทน หรือระหว่างทางกองทุนนี้อาจมีการลงทุนที่ต่างไปจากนโยบายที่จัดตั้งบ้าง ช่วงนี้จึงถือเป็นช่วงที่จะเข้ามาปรับปรุงพอร์ตการลงทุนให้กลับมาสอดคล้องกับนโยบายการลงทุน ซึ่งทั้งหมดนี้มักถูกเรียกว่า "Window Dressing"

โดยปกติเมื่อเกิด "Window Dressing" มักส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น คือ ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) หรือราคาหุ้นบางบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อาจปรับตัวสูงขึ้น เพราะมีปริมาณซื้อจากนักลงทุนสถาบันเข้ามา โดยเฉพาะหุ้นที่ Outperform มีแนวโน้มราคาหรือผลประกอบการที่ดีอยู่แล้ว ราคาก็จะยิ่งปรับขึ้นไปอีกในช่วงสิ้นไตรมาสหรือสิ้นงวดนั้น และค่อย ๆ ลดลงมาสู่ราคาปกติในช่วงต้นเดือนถัดไป

*** กูรูส่วนใหญ่มองสิ้นเดือน ก.ย.นี้ Window Dressing เกิดแน่

"เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม" ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย พลัส มองว่าสิ้นเดือน ก.ย.นี้ มีโอกาสสูงที่จะเกิดการทำ Window Dressing ในตลาดหุ้นไทยขึ้น เนื่องจากมีเม็ดเงินจำนวนมากจากกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ที่จะเริ่มซื้อหุ้นไทยในเดือน ต.ค.ที่จะถึงนี้ ประกอบกับ เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ (Fund flow) ยังไหลเข้าหุ้นไทยต่อเนื่อง และผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในช่วงไตรมาส 3/67 มีแนวโน้มไม่ได้แย่เหมือนปีก่อน ๆ (ปกติเป็นโลว์ซีซั่นของปีกดผลการดำเนินงาน บจ.รวมอ่อนแอ)

เช่นเดียวกับ "วิจิตร อารยะพิศิษฐ" นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ ที่ประเมินว่า สิ้นเดือน ก.ย.นี้ มีโอกาสที่จะเกิด Window Dressing ได้เหมือนกัน เนื่องจากในช่วงต้นเดือน ต.ค.ที่จะถึงนี้ มีสตอรี่ที่รอหนุนหุ้นไทยที่สำคัญ อย่าง กองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ที่จะเริ่มมีการซื้อหุ้นไทยแล้ว 

ขณะที่ "กรรณ์ หทัยศรัทธา" นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) เสริมว่า ในช่วงสิ้นเดือน ก.ย.นี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการปิดงบการเงินไตรมาส 3/67 ทำให้มีโอกาสค่อนข้างสูงที่ในตลาดหุ้นไทยจะเกิดการทำ Window Dressing ค่อนข้างแน่ 

อย่างไรก็ตาม มองว่า การทำ Window Dressing ในช่วงเดือน ก.ย.นี้ อาจจะไม่ใช่เม็ดเงินจำนวนมากสักเท่าไร เพราะคาดว่า การทำ Window Dressing รอบที่จะถึงนี้ หุ้นที่เป็นเป้าหมายมีเพียงแค่ 2 กลุ่มเท่านั้น คือ 1.กลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากเงินบาทแข็งค่า และ 2.หุ้นที่เป็นเป้าหมายการซื้อของกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ที่จะเริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นเดือน ต.ค.นี้

ส่วน "ประกิต สิริวัฒนเกตุ" กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ ให้ความเห็นอีกมุมว่า โดยส่วนตัวยังมองว่า โอการที่จะเกิด Window Dressing ในช่วงสิ้นเดือน ก.ย.นี้ ยังค่อนข้างน้อยอยู่ แต่หากจะเกิดขึ้น จะมาจากเหตุผลหลัก คือ ผู้จัดการกองทุน TESG จะเร่งทำ Performance ให้กับกองทุนตัวเอง เพื่อที่จะทำให้สามารถขายกองทุนของตนเองในช่วงปลายปีนี้ง่ายขึ้น 

*** ชี้หนุนสภาพคล่อง SET เพิ่ม ดันดัชนนีสิ้นปีแตะ 1,510 จุด

"เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม" กลับมากล่าวต่อว่า คงไม่มีใครสามารถประเมินได้ว่าเมื่อเกิด Window Dressing แล้ว จะสามารถดันดัชนีหุ้นไทยให้ปรับตัวขึ้นได้สักกี่จุด แต่อยากให้มองว่าเมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นแล้ว จะทำให้มีสภาพคล่องเข้ามาหนุนหุ้นไทยมากขึ้น ส่งผลให้โอกาสที่จะเห็น SET Index แตะระดับ 1,510 จุด ณ สิ้นปีนี้ มีโอกาสเป็นจริงได้ด้วยเช่นกัน

เช่นเดียวกับ "กรรณ์ หทัยศรัทธา" ที่ระบุว่า การทำ Window Dressing รอบนี้ จะช่วยหนุนดัชนีให้ปรับตัวขึ้นได้สักเท่าไร ยังไม่สามารถตอบได้ เพราะยังไม่มีปัจจัยใดที่สามารถการันตีได้ว่าเมื่อเกิดการทำ Window Dressing แล้ว จะสามารถผลักดันให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้ระดับ 10 - 20 จุด แต่มั่นใจว่าจะมีแรงซื้อเข้ามาในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น และจะสามารถพยุง SET Index ไม่ให้หลุดระดับ 1,450 จุด และยังสามารถผลักดันให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 1,500 จุด ในช่วงปลายปีได้เหมือนกัน 

สอดคล้องกับ "วิจิตร อารยะพิศิษฐ" ที่ระบุว่า ไม่สามารถประเมินได้ว่า หาดเกิด Window Dressing ขึ้นในรอบนี้ จะสามารถผลักดันดัชนีให้ปรับตัวขึ้นไปได้สักกี่จุด แต่ส่วนตัวยังมองว่า SET Index ยังมีโมเมนตั้มที่จะปรับตัวขึ้นได้ต่อ แม้ก่อนหน้านี้จะปรับตัวขึ้นมากว่า 150 จุด ภายใน 1 เดือนก็ตาม 

ซึ่งหากอ้างอิงปัจจัยพื้นฐาน ณ ปัจจุบัน ของตลาดหุ้นไทย ประกอบกับ เม็ดเงินจากกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ที่กำลังจะเข้ามา และแรงซื้อกลับของนักลงทุนต่างประเทศ ก็มีโอกาสที่จะทำให้ SET Index ณ สิ้นปี ปรับตัวขึ้นไปปิดที่ระดับ 1,500 จุด ได้เหมือนกัน 

*** ติงงบ Q3 เข้าโลว์ซีวั่น อาจกระทบเม้ดเงินทำ Window Dressing

"วิจิตร อารยะพิศิษฐ" กล่าวว่า ปัจจัยที่อาจกระทบเม็ดเงินการทำ Window Dressing ในช่วงสิ้นเดือน ก.ย.นี้ มีด้วยกัน 2 เหตุผล ดังนี้

1.ช่วงไตรมาส 3 ของทุกปี มักเป็นโลว์ซีซั่นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่นเดียวกับผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนช่วงไตรมาส 3/67 ที่ก็มีแนวโน้มไม่โดดเด่นมากนัก จึงอาจทำให้ไม่มีความน่าสนใจมากพอ ถ้าไม่มีประเด็นใหญ่ ๆ อย่างกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ที่รอหนุนอยู่

2.โดยปกติของทุกปีในช่วงสิ้นเดือน พ.ค. และสิ้นเดือน ก.ย. มักจะเป็นจังหวะการขายหุ้นไทยของนักลงทุนต่างประเทศ หลังหมดช่วงการเก็งกำไรงบการเงิน และการจ่ายเงินปันผล ซึ่งช่วง 2 จังหวะดังกล่าว เป็นช่วงที่มักมีเม็ดเงินลงทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทยมากที่สุดในภาวะปกติ ส่งผลให้กองทุนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยนิยมทำ Window Dressing ในช่วงปิดงบไตรมาส 3 ของทุกปี 

เช่นเดียวกับ "ประกิต สิริวัฒนเกตุ" ที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า โดยปกติแล้วในช่วงไตรมาส 3 ของทุกปี มักเป็นช่วงที่จะไม่ค่อยมีการทำ Window Dressing เกิดขึ้น เนื่องจากช่วงดังกล่าวเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย จึงมักไม่มีกองทุนใดนิยมทำ Window Dressing ในช่วงดังกล่าว อีกทั้ง การลงทุนในกองทุนรวมในประเทศเริ่มได้รับความนิยมลดลงในระยะหลัง ๆ ทำให้กองทุนก็มีเม้ดเงินในการนำมาทำ Window Dressing ไม่มากด้วย 

*** ส่วนใหญ่มองหุ้นไทยยังซื้อได้ แนะเก็บหุ้น Domestic

"ณรงค์เดช จันทรไพศาล" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.ไอร่า ระบุว่า หากอ้างอิงตามสถานการณ์ล่าสุดที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เริ่มลดดอกเบี้ยนโยบายลง และ GDP ประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องหลังพ้นจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 1/67 ทำให้มองการลงทุนในหุ้นยังสามารถซื้อได้ แต่ควรรอดัชนีหุ้นไทยย่อตัวก่อนจึงค่อยเข้าซื้อ ไม่แนะนำไล่ซื้อ โดยยังคงแนะนำเลือกหุ้นรายตัว (Selective) มี่มูลค่า (Valuation) ไม่แพง ประกอบกับ ผลการดำเนินงานระยะถัดไปยังสามารถเติบโตได้ 

ด้าน "วิจิตร อารยะพิศิษฐ" ระบุว่า กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ ในกรณีที่นักลงทุนมีหุ้นอยู่ และหุ้นที่ถือมีแนวโน้มที่ผลการดำเนินงานครึ่งหลังของปีนี้เติบโตต่อเนื่อง ยังสามารถถือหุ้นดังกล่าวต่อไปได้ เพราะโมเมนตั้มของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ จะช่วยหนุนหุ้นลักษณะดังกล่าวให้ปรับตัวขึ้นได้ต่อ แต่ถ้าหุ้นที่ถืออยู่ มีแนวโน้มผลการดำเนินงานช่วงครึ่งปีหลังไม่ดีนัก แนะนำขายทำกำไรก่อน

ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้น แนะนำรอจังหวะดัชนีหุ้นไทยย่อตัวลงมาเสียก่อนจึงค่อยเข้าสะสม เพราะหุ้นไทยช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นมากว่า 150 จุดแล้ว การเข้าซื้อในจังหวะนี้ถือว่าค่อนข้างเสียเปรียบนักลงทุนที่ซื้อหุ้นมาก่อนหน้านี้ โดยแนะนำหุ้นที่ได้รับอานิสงส์เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว (Domestic play), มีเงินปันผลระดับสูง และเป็นเป้าหมายการซื้อของกองทุน ชอบ GPSC, BH, JMT และ STA

สอดคล้องกับ "เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม" ที่ระบุว่า แม้ SET Index จะปรับตัวขึ้นมาร้อนแรงในช่วงราว 1 เดือนที่ผ่านมา แต่ยังเเนะนำถือหุ้นเต็มพอร์ต และยังซื้อหุ้นต่อได้ เนื่องจากมองว่า ยังพอมีอัพไซด์ที่จะทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้ต่อ โดยแนะนำสะสมหุ้น Domestic play มี TOP PICK คือ CPALL, CPN และ TASCO 

ส่วน "กรรณ์ หทัยศรัทธา" กล่าวทิ้งท้ายว่า กลยุทธ์ลงทุนในช่วงนี้ แนะนำนักลงทุนแบ่งไม้ซื้อหุ้น Domestic play เป็นหลัก โดยมีหุ้นแนะนำ 5 บริษัท ประกอบด้วย CRC, LH, ERW, BAM และ PTG เป็นต้น