หุ้นกลาง-เล็กแรงเก็งกำไรสนั่น พบ 21 บจ.บวก 100-2,283% ไม่แคร์พื้นฐานที่ส่วนใหญ่ยังขาดทุน-พี/อีพุ่งระเบิด 109-704 เท่า วงการเตือนเสี่ยงสูงมาก พบล่าสุดราคาเข้าสู่ขาลงหลังขึ้นทำนิวไฮ ติดลบเฉลี่ยถึง 27% สูงสุด 56%
*** แห่เก็งกำไรหุ้นกลาง-เล็ก สนั่น 88 ตัว พุ่ง 100-2,283%
"สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" สำรวจความเคลื่อนไหวราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีถึง 13 ส.ค.64 (Year to date) พบมี 88 บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 100% สูงสุด 2,283% เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จำนวน 54 บริษัท และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) จำนวน 34 บริษัท ซึ่งทั้งหมดเป็นหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่อยู่นอกดัชนี SET100 โดยกลุ่มธุรกิจ สินค้าอุตสาหกรรม, บริการ และ เหล็ก ติดโผสูงสุด รวม 28 บริษัท
ทั้งนี้เกินครึ่งมีผลประกอบการดีขึ้น ส่วนใหญ่กำไรครึ่งแรกปี 64 หรือ ไตรมาส 1/64 เติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่หลายบริษัทพลิกมีกำไรจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
*** ผงะ 21 บจ.ราคาวิ่งสวนพื้นฐาน
อย่างไรก็ตามเมื่อสำรวจข้อมูลพื้นฐานของ 88 บจ.ข้างต้น โดยคัดกรองกลุ่มบริษัทที่ผลประกอบการยังไม่มีการเติบโตที่มีนัยสำคัญ และกลุ่มที่ยังขาดทุน รวมถึงกลุ่มที่แม้จะมีกำไรเพิ่ม แต่ราคาล่าสุดซื้อขายที่ระดับอัตราราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) เกิน 100 เท่า พบว่ามีทั้งสิ้น 21 บริษัทประกอบด้วย
21 หุ้นปี 64 ราคาพุ่งเกิน 100% แต่ยังขาดทุน-P/E เกิน 100 เท่า
|
ชื่อย่อหุ้น
|
ราคาล่าสุด (บ.)
|
%chg YTD
|
P/E (เท่า)
|
กำไร Q1/64 (ลบ.)*
|
กำไร Q1/63 (ลบ.)*
|
กำไรปี 63 (ลบ.)
|
กำไรปี 62 (ลบ.)
|
JTS*
|
46
|
2,283
|
436.74
|
47.55
|
17.31
|
44.17
|
6.14
|
BYD
|
8.1
|
1,190
|
N/A
|
-7.04
|
-40.48
|
-300.61
|
-237.87
|
XPG
|
3.34
|
731
|
704.39
|
50.41
|
-7.49
|
-16.62
|
81.33
|
DIMET
|
0.66
|
500
|
N/A
|
-18.85
|
-1.12
|
-52.52
|
-112.61
|
HEMP
|
0.61
|
397
|
N/A
|
-14.14
|
-10.55
|
-28.37
|
-44.78
|
IMH
|
10.3
|
372
|
N/A
|
-14.85
|
-7.91
|
-16.61
|
10.5
|
TGPRO
|
0.29
|
263
|
N/A
|
-8.8
|
-58.41
|
-58.37
|
-171.57
|
UMS*
|
1.18
|
258
|
N/A
|
-28.44
|
-27.52
|
-56.65
|
-41.78
|
MVP
|
3.64
|
194
|
N/A
|
2.47
|
1.54
|
-43.46
|
30.19
|
PLANET*
|
2.7
|
184
|
152.65
|
3.02
|
-1.18
|
2.44
|
-1
|
AJA*
|
0.33
|
175
|
N/A
|
-38.67
|
-64.36
|
-132.08
|
-370.24
|
CIG
|
0.57
|
138
|
N/A
|
-33.69
|
-51.27
|
-129.95
|
-198.57
|
SDC*
|
0.72
|
132
|
N/A
|
-134.49
|
-127.63
|
-342.94
|
-238.39
|
IP
|
21.5
|
131
|
109.36
|
489.77
|
469.29
|
471.09
|
455.71
|
NEX
|
8.85
|
111
|
N/A
|
-37.86
|
0.95
|
-213.59
|
-146.66
|
THMUI*
|
1.23
|
105
|
N/A
|
-3.43
|
-3.39
|
-12.19
|
-15.14
|
KCM*
|
1
|
104
|
N/A
|
3.16
|
12.82
|
5.09
|
-11.19
|
WIN
|
0.71
|
103
|
N/A
|
-1.22
|
1.11
|
-73.9
|
-24.38
|
INGRS
|
0.86
|
100
|
N/A
|
-0.85
|
-64.44
|
-221.92
|
-76.09
|
STOWER
|
0.06
|
100
|
N/A
|
-18.04
|
-26.35
|
-310.61
|
-801.3
|
ARIN*
|
1.54
|
100
|
N/A
|
-6.66
|
-13.86
|
-37.33
|
-14.12
|
ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ข้อมูล ณ 13 ส.ค.64
N/A : มีผลขาดทุนภายใน 4 ไตรมาสหลังสุด จึงไม่สามารถคำนวณ P/E ได้
* : กำไร JTS,UMS,PLANET,AJA,SDC,THMUI,KCM,ARIN เป็นงบครึ่งแรกปี 64 เทียบครึ่งแรกปี 63
|
*** พบ 15 บจ.ยังขาดทุน
ทั้งนี้พบว่ามี 15 บจ. ที่งบการเงินครึ่งแรกปี 64 หรือ ไตรมาส 1/64 ยังขาดทุน โดย 8 บริษัทขาดทุนเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนอีก 7 บริษัทขาดทุนลดลง
บมจ.เน็กซ์ พอยท์ (NEX) กำไรไตรมาส 1/64 พลิกขาดทุน 37.86 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 0.95 ล้านบาท หรือลดลงถึง 4,085% แต่ราคาล่าสุดอยู่ที่ 8.85 บาท เพิ่มขึ้น 111% จากต้นปี โดยราคาหุ้นเคยขึ้นไปทำจุดสูงสุดถึง 10 บาท
เช่นเดียวกับ บมจ.สวนอุตสาหกรรม วินโคสท์ (WIN) ที่กำไรไตรมาส 1/64 พลิกขาดทุน 1.22 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 1.11 ล้านบาท แต่ราคาหุ้นล่าสุดอยู่ที่ 0.71 บาท เพิ่มขึ้น 103% จากต้นปี และเคยขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 0.94 บาท
ด้าน บมจ.ไดเมท (สยาม) หรือ DIMET กำไรไตรมาส 1/64 ขาดทุน 18.85 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุน 1.12 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการขาดทุนเพิ่มขึ้่นถึง 1583% แต่ราคาล่าสุดอยู่ที่ 0.66 บาท เพิ่มขึ้น 500% จากต้นปี
ส่วน บมจ.เค.ซี.เมททอลชีท (KCM) แม้งบครึ่งแรกปี 64 จะยังมีกำไร 3.16 ล้านบาท แต่กำไรปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนถึง 75% ซึ่งราคาหุ้นล่าสุดอยู่ที่ 1 บาท เพิ่มขึ้น 104% จากต้นปี และเคยขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1.45 บาท
*** 4 บจ.เทรดที่พี/อี 109 - 704 เท่า
นอกจากนี้พบว่ามี 4 บจ.ที่งบการเงินครึ่งแรกปี 64 หรือ ไตรมาส 1/64 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ราคาล่าสุดซื้อขายระดับพี/อีตั้งแต่ 109-704 เท่า
บมจ.จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ (JTS) กำไรครึ่งแรกปี 64 อยู่ที่ 47.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 175% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ราคาล่าสุดอยู่ที่ 46 บาท เพิ่มขึ้น 2,283% จากต้นปี โดยเคยขึ้นไปทำจุดสุงสุดถึง 67 บาท ซึ่งราคาล่าสุดซื้อขายที่พี/อีระดับ 437 เท่า
JTS มีแรงเก็งกำไรเข้ามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี โดยเป็นหุ้นที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดของตลาดหุ้นไทยปีนี้ ล่าสุดประกาศเตรียมรุกธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และลงทุนในธุรกิจเหมืองขุดบิตคอยน์
เช่นเดียวกับ บมจ.เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล (XPG) หรือเดิมคือ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ ZMICO มีการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น, ผู้บริหาร และปรับโครงสร้างธุรกิจเข้าสู่สินทรัพย์ดิจิทัล ราคาล่าสุดอยู่ที่ 3.34 บาท เพิ่มขึ้น 1,190% จากต้นปี เคยขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 5 บาท ซึ่งราคาหุ้นซื้อขายที่พี/อีระดับ 704 เท่า
ด้านผลประกอบการแม้ไตรมาส 1/64 จะพลิกกำไร 50.41 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุน 7.49 ล้านบาท แต่ล่าสุดกำไรไตรมาส 2/64 อยู่ที่ 14.22 ล้านบาท ลดลง 3.52% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังรับรู้รายได้ระบบขายโทเคนลดลง แต่มีค่าใช้จ่ายด้านพนักงานเพิ่มขึ้่น
ส่วน บมจ.แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย (PLANET) งบฯ ครึ่งแรกปี 64 พลิกกำไร 3.02 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนขาดทุน 1.18 ล้านบาท แต่ราคาล่าสุดอยู่ที่ 2.7 บาท เพิ่มขึ้น 184% จากต้นปี ทำให้พี/อีปัจจุบันอยู่ระดับ 153 เท่า
รวมถึง บมจ.อินเตอร์ ฟาร์มา (IP) กำไรไตรมาส 1/64 เพิ่มขึ้น 4.36% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ราคาล่าสุดอยู่ที่ 21.5 บาท เพิ่มขึ้น 131% จากต้นปี เคยขึ้นไปสูงสุด 24.47 บาท ปัจจุบันเทรดพี/อีระดับ 109 เท่า
นอกจากนี้ บมจ.เอ็ม วิชั่น (MVP) กำไรไตรมาส 1/64 อยู่ที่ 2.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 1.54 ล้านบาท แต่ราคาล่าสุดอยู่ที่ 3.64 บาท เพิ่มขึ้น 194% จากต้นปี ขณะที่ไม่สามารถคำนวณค่าพี/อีได้ เนื่องจากมีผลขาดทุนในรอบ 4 ไตรมาสหลังสุด
*** วงการชี้รายย่อยแห่เก็งกำไรตามข่าว เตือนเสี่ยงสูงจัด
"ณรงค์เดช จันทรไพศาล" นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน บล.ไอร่า ระบุว่า หุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรง สวนทางพื้นฐาน ส่วนใหญ่เกิดจากการเก็งกำไรทางอารมณ์, มีความคาดหวังต่อข่าว หรือ การเปลี่ยนแปลงต่อผลการดำเนินงานในอนาคต โดยเป็นแรงเก็งกำไรของนักลงทุนรายย่อย
การลงทุนในหุ้นประเภทนี้มีความเสี่ยงมาก เพราะเป็นการปรับตัวขึ้นตามอารมณ์ไม่ใช่พื้นฐาน ดังนั้น แนะนำนักลงทุน ควรศึกษาการลงทุนด้านเทคนิคประกอบด้วย เพราะจะทำให้ช่วยคาดการณ์ทิศทางราคาหุ้นในอนาคตอันใกล้ได้ และช่วยจำกัดความเสี่ยง กว่าการไล่ราคาตามกระดานไปเรื่อยๆ โดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ
นอกจากนี้ ควรหมั่นตรวจสอบข่าวสารต่างๆ เกี่ยวกับบริษัทดังกล่าวอย่างละเอียด หากราคาปรับตัวขึ้นตามข่าว เช่น ในอนาคตมีแนวโน้มเป็นบวกมากกว่าปัจจุบัน ควรประเมินข่าวดังกล่าวได้ ว่ามีความเป็นไปได้ ในการเกิดขึ้นจริงมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเป็นอีก 1 ปัจจัย ที่จะช่วยจำกัดความเสี่ยงให้กับนักลงทุน เพราะหุ้นลักษะนี้ขาลง ก็ลงแรงเช่นกัน
ด้าน "ณัฐชาต เมฆมาสิน" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ มองว่า ปีนี้ตลาดหุ้นไทยมีนักลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนมากขึ้น ซึ่งโดยปกติกลุ่มนักลงทุนรายย่อย มักเลือกเก็งกำไรในหุ้นขนาดเล็ก ที่มีข่าวการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ทั้งโครงสร้างผู้ถือหุ้น, ผู้บริหาร หรือโครงสร้างธุรกิจ
หุ้นในประเภทดังกล่าวมีความเสี่ยงสูง เพราะอยู่กับความคาดหวังการเปลี่ยนแปลงหรือการเติบโตในอนาคต จึงทำให้นักลงทุนต้องตระหนักรู้เกี่ยวกับพื้นฐานที่แท้จริงของบริษัทที่กำลังจะเข้าไปลงทุนมากขึ้นกว่าเดิม ประกอบกับ พิจารณา Valuation ว่ามีความเหมาะสมในระดับเท่าไร ซึ่งจะช่วยจำกัดความเสี่ยงในการเก็งกำไรได้มากขึ้น
ส่วน "วัชเรนทร์ จงยรรยง" ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก เพิ่มเติมว่า ปีนี้มีหุ้นปรับตัวขึ้นสวนทางพื้นฐานค่อนข้างมากกว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักเกิดจากนักลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ซึ่งโดยปกติของกลุ่มนักลงทุนดังกล่าว มักนิยมเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็ก เพราะใช้เงินลงทุนไม่มาก
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในกลุ่มหุ้นดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงมาก จึงไม่แนะนำให้นักลงทุนรายย่อยเข้าเก็งกำไรในช่วงที่ราคาหุ้นกำลังปรับตัวขึ้นแรง เพราะไร้ปัจจัยพื้นฐานรองรับ แต่สำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์ หรือดูเทคนิคหุ้นเป็น ยังสามารถเก็งกำไรในกลุ่มหุ้นดังกล่าวได้ แต่แนะนำเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น
*** ราคาหุ้นเริ่มเข้าสู่ขาลง ติดลบเฉลี่ย 27% จากจุดสูงสุด
ทั้งนี้เมื่อสำรวจราคาหุ้น 21 บจ.ข้างต้นพบว่า ปัจจุบันราคาหุ้นอยู่ในช่วงการปรับตัวลดลงหลังขึ้นไปทำจุดสูงสุดของปีนี้ โดยหากเทียบราคาสูงสุดกับราคาล่าสุดพบว่าปรับตัวลดลงเฉลี่ยถึง 27% สูงสุด 55.61% ดังนี้
ราคาล่าสุดของ 21 หุ้นราคาพุ่งเกิน 100% แต่ยังขาดทุน-P/E เกิน 100 เท่า
|
ชื่อย่อหุ้น
|
ราคาสูงสุด (บ.)
|
ราคาล่าสุด (บ.)
|
%chg
|
MVP
|
8.20
|
3.64
|
-55.61
|
TGPRO
|
0.49
|
0.29
|
-40.82
|
STOWER
|
0.10
|
0.06
|
-40.00
|
BYD
|
13.40
|
8.1
|
-39.55
|
UMS
|
1.80
|
1.18
|
-34.44
|
INGRS
|
1.30
|
0.86
|
-33.85
|
XPG
|
5.00
|
3.34
|
-33.20
|
JTS
|
67.00
|
46
|
-31.34
|
KCM
|
1.45
|
1
|
-31.03
|
CIG
|
0.82
|
0.57
|
-30.49
|
ARIN
|
2.12
|
1.54
|
-27.36
|
WIN
|
0.94
|
0.71
|
-24.47
|
SDC
|
0.94
|
0.72
|
-23.40
|
AJA
|
0.42
|
0.33
|
-21.43
|
HEMP
|
0.77
|
0.61
|
-20.78
|
PLANET
|
3.32
|
2.7
|
-18.67
|
THMUI
|
1.44
|
1.23
|
-14.58
|
IP
|
24.47
|
21.5
|
-12.14
|
NEX
|
10.00
|
8.85
|
-11.50
|
DIMET
|
0.74
|
0.66
|
-10.81
|
IMH
|
11.20
|
10.3
|
-8.04
|
จากตารางมีถึง 15 บริษัทที่ราคาปรับตัวลดลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุด บมจ.เอ็ม วิชั่น (MVP) ราคาปรับตัวลดลงมากสุดถึง 56% หลังขึ้นทำจุดสูงสุดที่ 8.20 บาท เมื่อ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา
ขณะที่กลุ่มหุ้นที่ราคาขึ้นแรงมากจากต้นปี เช่น บมจ.จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ (JTS), บล.บียอนด์ (BYD) และ บมจ.เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล (XPG) ราคาล่าสุดปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดที่ 31.34%, 39.55% และ 33.20% ตามลำดับ