โบรกฯ มองหุ้นไทยเดือน ส.ค.66 ปรับตัวเพิ่มขึ้นชัด หลังการเมืองไทยคลี่คลายหวังจัดตั้งรัฐบาลใหม่สำเร็จ ด้านครึ่งปีหลังทิศทางงบบจ.สดใส - เงินเฟ้อลด - หมดรอบดอกเบี้ยขาขึ้นช่วยหนุน มองแนวต้านสูงสุด 1,600 จุด
ตลาดหุุ้นไทยปี 66 เข้าสู่เดือนสิงหาคมแล้ว หลังจากตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางแรงขายของนักลงทุนต่างชาติระดับกว่าแสนล้านบาท ส่วนสำคัญมาจากความกังวลต่อทิศทางการเมืองในประเทศ ที่ผ่านการเลือกตั้งมาแล้วกว่า 2 เดือน แต่ยังไม่มีท่าทีว่าจะได้เห็นรัฐบาลใหม่ อย่างไรก็ตาม ในเดือนนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างประเมินว่า จะเป็นเดือนที่เห็นความชัดเจนการเมืองมากที่สุด ทั้งโฉมหน้านายกรัฐมนตรี และรัฐบาลใหม่ ซึ่งจะช่วยเรียกความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน และมีแนวโน้มที่ช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวขึ้นมาได้
***บล.หยวนต้ามองส.ค. ดีต่อหุ้นไทยพร้อมบวกแนวต้าน 1,580 จุด
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยกับ "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยช่วงเดือนส.ค.66 มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยมีแนวต้าน 1,570 และ 1,580 จุด เนื่องจากไร้ปัจจัยกดดันจากบรรยากาศการลงทุนต่างประเทศ ทั้งในเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางต่างๆ ซึ่งในครั้งถัดไปจะเป็นช่วงเดือนก.ย. ด้านตัวเลขเศรษฐกิจค่อนข้างดี
อีกทั้งดัชนีเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ส่งผลให้เม็ดเงินมีโอกาสไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market) รวมถึงประเทศไทย นอกจากนี้ปัจจัยเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของจีน จะเกิดขึ้นได้รวดเร็วเพียงใด เพราะจะสนับสนุนบรรยากาศตลาดหุ้นจีน และบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากไทยพึ่งพาการเติบโตจากจีนค่อนข้างมากเช่นกัน
ส่วนบรรยากาศการเมืองในประเทศคาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งในส่วนการจัดตั้งรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะทำให้ตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ทั้งนี้ให้แนวรับดัชนี 1,520 และ 1,515 จุด
"เราคิดว่าช่วงเเดือนส.ค. เป็นเดือนที่ดีของหุ้นไทย คงเป็นลักษณะบวกชัดเจน ลุ้นแนวต้าน 1,570 และ 1,580 จุด จากเม็ดเงินต่างชาติที่คาดว่าไหลเข้ามาเพราะเงินดอลล์อ่อนค่า ด้านการเมืองไทยชัดหนุน" นายณัฐพลกล่าว
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำกกลุ่มการบริโภคในประเทศ ซึ่งปรับฐานลงไปค่อนข้างมากช่วงก่อนหน้านี้ และยังไม่ฟื้นตัวกลับขึ้นมา (หุ้น Outperform) ได้แก่ กลุ่มค้าปลีกแนะ CPAXT CPALL , กลุ่มอาหารเครื่องดื่ม OSP , กลุ่มการเงิน SAWAD NCAP , กลุ่มโรงไฟฟ้า RATCH
*** บล.ลิเบอร์เรเตอร์ ระบุการเมืองเป็นปัจจัยหลักเดือนส.ค. คาดตั้งรัฐบาลได้
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ลิเบอร์เรเตอร์ เปิดเผยกับ "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ว่า เดือนส.ค.นี้ น่าจะเป็นเดือนแห่งการเมืองไทย เนื่องจากสัญญาณทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย โดยคาดว่าน่าจะมีโอกาสที่พรรคเพื่อไทยนาย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล อย่างไรก็ตามช่วงวันที่ 3 ส.ค.นี้ ให้ติดตามศาลรัฐธรรมนูญนัดประชุม ถกรับ-ไม่รับคำร้อง ปมมติรัฐสภาห้ามเสนอชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ โหวตนายกฯ รอบ 2 ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่อย่างไร
นอกจากนี้ปัจจัยภายในประเทศให้ติดตามเรื่องการประชุมเรื่องอัตราดอกเบี้ย คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนหุ้นธนาคารพาณิชย์ และอีกปัจจัยคือการติดตามผลประกอบการไตรมาส2/66 ซึ่งตลาดเก็งกำไรรับข่าวคาดการณ์งบออกมาไม่ดีไปก่อนแล้ว ด้านปัจจัยตลาดต่างประเทศเรื่องทิศทางปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมองว่าใก้สิ้นสุดลงแล้ว หลังเทรนด์เงินเฟ้อเป็นขาลง
โดยประเมินการเคลื่อนไหวของดัชนีมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น ให้แนวต้าน 1,580 จุด แนวต้านถัดไป 1,600 จุด แนวรับ 1,520 จุด แนะนำลงทุนหุ้นที่มีทิศทางกำไรฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ BBL , เทคโนโลยี-สื่อสาร ADVANC , พลังงานโดยเฉพาะโรงกลั่นที่คาดว่างบไตรมาส 2 ต่ำมากแล้ว TOP , ค้าปลีก CPALL , ท่องเที่ยว ERW SPA
*** บล.เอเซีย พลัส มอง SET ส.ค. สดใสรับปัจจัยบวกทั้งนอกและในประเทศ มองต้านสูงสุด 1,610 จุด
ด้านบล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ในเดือนส.ค.นี้ คาดหวังให้ SET วิ่งต่อ ในเดือน ส.ค. 66 โดยคาดหวัง SET ได้แรงหนุนจากปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายในดังนี้ ปัจจัยภายนอก 1. วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นใกล้จบ หลังจากเฟด ขึ้นดอกเบี้ยมาแล้วใน 1 ปี 7 เดือน จาก 0.25% มาเป็น 5.5% ซึ่งสูงกว่าเงินเฟ้อปัจจุบันที่ลดลงเหลือ 3% พอสมควร ส่งผลให้ตลาดคาดเฟด น่าจะคงดอกเบี้ยไปจนถึงต้นปี 67 ในเดือนมิ.ย.66 ที่ผ่านมา 2. ความกังวลเศรษฐกิจโลกเผชิญ Recession ลดลงหลังจาก IMF มีการปรับคาดการณ์จีดีพีโลกปี 66 ขึ้นจาก 2.8% เป็น 3% 3. จีนเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ถือว่าดีต่อเศรษฐกิจไทยที่มีมูลค่าการกับไทยมากสุดเป็นอันดับ 1 หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 22% ของมูลค่ารวมทั้งโลก
ด้านปัจจัยภายในประเทศ 1. การเมืองพ้นจุดที่ร้อนแรงที่สุดไปแล้ว หลังผ่านระยะเวลาการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่มาเกินกว่า 2 เดือนครึ่ง และน่าจะเห็นการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลใหม่ในช่วงที่เหลือของปี 2. เป็นช่วงการรายงานกำไรบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 2/66 ฝ่ายวิจัยคาดว่าจะลดลงทั้งไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ในช่วงที่เหลือของปีคาดจะเห็นการเติบโตที่ดีขึ้น จากฐานกำไรที่ต่ำครึ่งหลังปี 65 ที่ต่ำเพียง 4.04 แสนล้านบาท ปกติอยู่ในโซน 4.5 - 5 แสนล้านบาท พร้อมกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่อง ทั้งจากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น การเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน และการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศจากรัฐบาลใหม่
ฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน Valuation ด้วยวิธี Market Earning Yield Gap (MEYG) แบบอนุรักษ์นิยม จะได้แนวรับทางพื้นฐานอยู่ที่ 1,480 จุด แต่ถ้าลดระดับดอกเบี้ยนโยบายมาอยู่ที่ 2% จะได้แนวต้านทางพื้นฐานที่ 1,542 จุด และถ้าสภาพคล่องกลับมา รวมถึง
ต่างชาติสลับเข้ามาซื้อสุทธิ (MEYG ตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 3.7%) หนุนให้แนวต้านทางพื้นฐานขยับขึ้นไปอยู่ที่ 1,610 จุด สำหรับกลยุทธ์เดือน ส.ค. แนะนำหุ้น 3 ธีม 1. หุ้น CHINA PLAY คือ ERW, SCGP 2. หุ้น ELECTION PLAY คือ GPSC, CK, SIRI 3. หุ้น EARNING MOMENTUM PAY คือ PLANB, SNNP
*** บล.ทรีนีตี้ มองดัชนีส.ค.อิงทางลง หลังขึ้นใกล้แตะ 1,560 จุด แนะซื้อหุ้นกลุ่มโรงกลั่น
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยถึงทิศทางลงทุน ส.ค.66 ว่า จะผันแปรไปตามปัจจัยภายในประเทศอยู่ 3 ประเด็น ได้แก่ 1.แนวนโนบายการเงินและการส่งสัญญาณของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) 2.พัฒนาการของปัจจัยการเมืองภายในประเทศ โดยเฉพาะการโหวตเลือกนายกฯคนใหม่ หากพรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้โดยที่ไม่ได้มีพรรคก้าวไกลอยู่เป็นพรรคร่วม และไม่มีความวุ่นวายนอกสภาเกิดขึ้น คาดว่าจะเป็น Sentiment บวกต่อตลาดหุ้นในระยะสั้นได้ และ 3.การประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส 2/66 และการปรับเปลี่ยนประมาณการของนักวิเคราะห์ ซึ่งล่าสุดยังคงเห็นสัญญาณการ Downgrade ต่อเนื่อง
ในเชิงกลยุทธ์ มองกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนี SET Index ในเดือนสิงหาคมอิงทางลง หลังดัชนีขึ้นมาใกล้ระดับดีสุดในวิธี PE Model ของทรีนีตี้ที่ 1,560 จุด โดยที่ยังไม่เห็นพัฒนาการเชิงบวกใดๆทางปัจจัยพื้นฐาน แนะนำนักลงทุนที่จำเป็นต้องถือหุ้น ใช้จังหวะที่ SET Index ทะลุระดับ 1,560 จุดขึ้นไป ทยอยเปิดสถานะ Short ในตราสาร Index futures เพื่อป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตหากดัชนีมีการปรับตัวลงมาตามที่เราคาดไว้
สำหรับหุ้นที่อาจพอ Selective ในช่วงที่ดัชนีอยู่สูงเช่นนี้ มองไปยัง 2 กลุ่มที่มีผลการดำเนินงานผ่านพ้นจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 2 ไปแล้ว อย่างเช่น 1. หากต้องการลงทุนไปตามโมเมนตัม มองไปยังกลุ่มโรงกลั่นที่ได้แรงหนุนจากค่าการกลั่นที่ปรับขึ้นสูง เช่น TOP, SPRC, BCP, IRPC, PTTGC 2. หากต้องการความปลอดภัย มองไปยังกลุ่มโรงพยาบาลที่ยังคงปรับตัว Laggard ตลาดในช่วงที่ผ่านมา เช่น BDMS, BH, BCH, CHG, PR9
*** บล.ทิสโก้ คาดหุ้นไทยส.ค. Sideway Up รับการเมืองชัด ฟากงบแบงก์-เรียลเซกเตอร์ แจ่ม
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยกับ "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ว่า ตลาดหุ้นในเดือนส.ค. คาดจะเคลื่อนไหวแกว่งตัวขึ้น(Sideway Up) โดยมาจากความชัดเจนทางด้านการเมือง ซึ่งคาดว่าจะได้รัฐบาลในเดือนส.ค. และ เป็นสัญญาณเชิงบวกสำหรับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร ซึ่งออกมาดีกว่าคาด ในขณะที่ผลประกอบการกลุ่มเรียลเซกเตอร์ออกมาตามคาด และ ดีกว่าคาด โดยเอื้อต่อบรรยากาศการลงทุน
"การเมืองต้องดูการจัดตั้งรัฐบาลว่าใครจะเป็นแกนนำ ถ้าเพื่อไทยเป็นแกนนำ ก้าวไกลฝ่ายค้าน อัพไซด์จะมีจำกัด โดยให้กรอบไว้ที่ 1,560-1,580 จุด" นายอภิชาติกล่าว