สำรวจผลงานนักลงทุนรายใหญ่ทั้ง VI - เทรดเดอร์ พบส่วนมากพอร์ตพลิกบวกกว่า 10% ผสานเสียง SET ระยะสั้นจะอยู่ในโหมดขาขึ้นยาวยัน ก.พ. - เม.ย.68 เหตุ Valuaion ยังแจ่ม นโยบายรัฐฯ หนุนตลาดคึกคัก แต่จะหวังให้กลับไประดับไฮเดิมยาก เหตุธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเก่า ส่วนระยะยาวต้องลุ้นสตอรี่ใหม่มาสนับสนุนอีกรอบ ชี้เป้าหุ้นเด่น กลุ่มการแพทย์ - อาหาร - ค้าปลีกยังแจ่ม
*** "ดร.นิเวศน์" เผยผลตอบแทนฟื้นเกิน 10%
"นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" นักลงทุนหุ้นเน้นคุณค่า (VI) เผยว่า ล่าสุดผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนเป็นบวกระดับ 10% ต้น ๆ แล้ว หลังจากที่ย่ำแย่ติดลบมาหลายปี ซึ่งผลตอบแทนตลาดหุ้นต่างประเทศค่อนข้างดีทำให้ช่วยพยุงพอร์ตการลงทุนได้
อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าหุ้นไทยกลับสู่ขาขึ้นแล้ว โดยจุดแข็งของหุ้นไทย ณ ปัจจุบัน ว่า มีเพียงเรื่องเดียง คือ มูลค่า (Valuation) ที่ค่อนข้างถูก หลังก่อนหน้านี้ปรับตัวลงค่อนข้างเยอะ พอมีข่าวดีเข้ามาก็ทำให้การรีบาวด์กลับเกิดขึ้นให้เห็นได้บ้าง อย่างไรก็ตาม SET ก็ยังมีข้อควรระวังที่เป็นตัวฉุดรั้ง อาทิ มีประเภทธุรกิจที่เป็นอุตสาหกรรมเก่ามาก, Fundamental ก็ยังไม่มีความชัดเจน อีกทั้งประเทศไทยก็กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้การเติบโตของเศรษบกิจในประเทศยากด้วย
ขณะที่การจะคาดหวังเห็นดัชนีหุ้นไทยกลับไปที่ระดับ 1,700 - 1,800 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเดิม คิดว่าอาจจะต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อยราว 2 - 3 ปี ท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นในประเทศต่อเนื่อง แต่การที่จะเห็นภายใน 1 ปี น่าจะเป็นเรื่องที่ยาก เพราะดัชนีฯ ต้องบวกอีกราว 25-30% เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายดังกล่าว
ส่วน กองทุน "วายุภักษ์" ที่ออกมานั้น ไม่น่าจะหนุนหุ้นไทยได้มากนัก เนื่องจากเป็นเพียงเม็ดเงินก้อนเดียวที่ใส่เข้ามาครั้งเดียว ทำให้จะเป็นปัจจัยบวกแค่ระยะสั้นมากกว่า ถ้าต้องการให้มีการหนุนหุ้นไทยมากกว่านี้ อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนอีกหลายส่วน
ปัจจุบันใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงอยู่เหมือนเดิม ทำให้สามารถรับมือกับความผันผวนของทั้งเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยได้ โดยทุก ๆ ปียังคงตั้งความหวังผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนที่ระดับ 10% ซึ่งปีนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น สำหรับหุ้นที่น่าสนใจยังคงให้น้ำหนักไปที่หุ้นเวียดนามเหมือนเดิม เลือกหุ้นที่มีความสามารถจะเติบโตในอนาคตเป็นรายตัว ขณะที่พอร์ตการลงทุนส่วนตัวแบ่งเป็นหุ้นไทย 60% หุ้นเวียดนาม 30% และอีก 10% ถือเงินสด
*** "นิ้วโป้ง" โชว์พอร์ตชนะตลาดแล้ว
ด้าน "นิ้วโป้ง" หรือ "อธิป กีรติพิชญ์" อีกหนึ่งนักลงทุนหุ้นเน้นคุณค่า (VI) ระบุว่า ผลตอบแทนการลงทุนปีนี้ เป็นบวกชนะ SET Index เทียบกับปีก่อนผลตอบแทนพอร์ตการลงทุนรวมติดลบตามดัชนีฯ
ส่วนกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวขึ้นกว่า 140 จุด มีปัจจัยหนุนจากความหวังรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจ จากการได้ใช้งบประมาณประจำปีของแผ่นดิน อีกทั้งยังมีความหวังการตั้งกองทุน "วายุภักษ์" และการเปลี่ยนเงื่อนไขการถือครองกองทุน "ThaiESG" ให้จูงใจนักลงทุนมากขึ้น อีกทั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ยังทยอยออกมาตรการควบคุมเข้มงวดขึ้น ทำให้เห็นความผันผวนที่ลดลง
ทั้งนี้ ประเมินว่า หุ้นไทยที่พลิกเป็นขาขึ้นรอบนี้จะอยู่ได้ถึง ก.พ. - เม.ย.68 สะท้อนจาก ช่วงสิ้นเดือน ก.ย.67 จะมีการแจกเงินให้กลุ่มเปราะบาง 14 ล้านคน รวม 1.4 แสนล้านบาท และเมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาส 4/67 จะมีเม็ดเงินจากกองทุน "วายุภักษ์" และ "ThaiESG" เข้ามาหนุน รวมถึงรัฐบาลจะสามารถใช้งบประมาณแผ่นดินได้อย่างเต็มที่ ประกอบกับ สหรัฐฯจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี และมีการลดดอกเบี้ย ทำให้คาดจะมีเม็ดเงินลงทุนไหลกลับเข้ามาในตลาดเกิดใหม่ โดยไทยก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจเพราะ Valuation ไม่แพง
นอกจากนี้เมื่อเข้าสู่ช่วงช่วงต้นปีจะเป็นช่วงที่บริษัทจดทะเบียน (บจ.) รายงานผลการดำเนินงานงวดปี 67 คาดว่าส่วนใหญ่จะมีผลการดำเนินงานที่เร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไตรมาส 4/67 จากการที่รัฐบาลอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบ ประกอบกับ เป็นช่วงการเก็งกำไรของหุ้นปันผลด้วย ทั้งหมดนี้จะช่วยหนุน SET Index ให้เป็นขาขึ้นถึงช่วงดังกล่าว
อย่างไรก็ตามเมื่อหมดปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมา ต้องมาลุ้นกันอีกทีว่าจะมีปัจจัยใหม่ ๆ อะไรเข้ามาช่วยผลักดันตลาดหุ้นไทยได้อีกหรือไม่
สำหรับ กลยุทธ์การลงทุน ปัจจุบัน เปลี่ยนมาหาหุ้นที่ Valuation ไม่แพง และผลการดำเนินงานมีแนวโน้มฟื้นตัว หรือ หุ้นที่กำไรจะเติบโตโดดเด่นในช่วง 1 - 2 ไตรมาสข้างหน้า เทียบกับเมื่อก่อนมักจะใช้กลยุทธ์ดุหุ้นที่พอจะมีอัพไซด์ซื้อและถือยาว
ส่วนพอร์ตการลงทุนปัจจุบัน แบ่งสัดส่วนถือหุ้นไทย 80% และหุ้นต่างประเทศ 20% โดยหุ้นที่จะเป็นดาวเด่นอีก 3 - 5 ปีข้างหน้า คือ กลุ่มการท่องเที่ยว และการแพทย์ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยทำได้ดี และต่างประเทศก็ให้การยอมรับ
*** "หมอวิน" ยิ้มพอร์ตบวก 15 - 20%
ขณะที่ "หมอวิน" หรือ "รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภ" นักลงทุนสายเทคนิคอล เปิดเผยว่า ผลตอบแทนการลงทุนปีนี้กลับมาเป็นบวกราว 15 - 20% แล้ว เทียบกับปีก่อนที่สามารถบวกได้เพียง 4 - 5% เท่านั้น โดยสัดส่วนการลงทุนยังคงเน้นลงทุนในหุ้นไทย 90%, หุ้นต่างประเทศ 5% และ ถือเงินสด 5%
ทั้งนี้มองว่า เม็ดเงินจากกองทุน "วายุภักษ์" และ "ThaiESG" มีโอกาสผลักดันตลาดหุ้นไทยให้ปรับตัวขึ้นราว 20% ได้ภายใน 6 - 9 เดือน นับตั้งแต่กองทุนเริ่มซื้อขาย อ้างอิงจากสถิติในอดีตที่กองทุนวายุภักษ์ เคยดันดัชนีหุ้นไทยจากระดับราว 500 จุด ให้ไปอยู่ในระดับ 800 จุดมาแล้ว แม้ไม่ได้คาดหวังว่ากองทุนวายุภักษ์ปัจจุบันจะหนุนให้ SET Index ปรับตัวขึ้นเท่าระดับดังกล่าว แต่คิดว่า 20% น่าจะได้เห็น เพราะจะมีเม็ดเงินจำนวนมากถูกใส่เข้ามาในตลาด
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอื่น ๆ เพิ่มเติม อาทิ การแจกเงิน 10,000 บาท ที่จะช่วยหนุนกำลังซื้อกลุ่มเปราะบาง ทำให้ตลาดหุ้นมีแนวโน้มที่จะได้รับอานิสงส์จากมาตรการดังกล่าวทางอ้อมได้ รวมถึงนโยบายอื่น ๆ และทิศทางดอกเบี้ยที่กลับทิศเป็นขาลง จะดึงดูเม็ดเงินไหลกลับเข้าภูมิภาคด้วย
สำหรับ หุ้นไทย ณ ปัจจุบัน มีจุดเเข็งตรงที่ Valuation ค่อนข้างถูก อีกทั้งนักลงทุนต่างประเทศขายหุ้นไทยไปมากในช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้มีโอกาสที่จะถูกซื้อกลับท่ามกลางที่ดัชนียังเป็นทิศทางขาขึ้น และมีสภาพคล่องสูง แต่ยังมีจุดอ่อนที่เป็นตัวถ่วง อาทิ หลาย ๆ ธุรกิจอยู่ในอุตสาหกรรมเก่า ๆ ทำให้ศักยภาพการเติบโตเป็นไปได้ยาก จึงจะเห็นภาพของหุ้นที่มีการปรับตัวขึ้นมาสักระยะและจะ Sideway ออกข้าง ประเมินว่า จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีอุตสาหกรรมใหม่ที่ล้อไปกับการเปลี่ยนผ่านของโลกเข้ามามากขึ้น
สำหรับกลุ่มธุรกิจที่มองว่ายังสามารถเติบโตได้ดีในช่วง 3 - 5 ปี ข้างหน้า ประกอบด้วย กลุ่ม Data Center เพราะจะล้อไปกับเทรดน์โลก, กลุ่มการแพทย์ เพราะจะได้รับอานิสงส์จากเทรดผู้ป่วยต่างประเทศที่นิยมเข้ามารับการรักษาในประเทศไทยมากขึ้น และกลุ่มค้าปลีก ที่จะได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิของรัฐบาล
*** "หยง ธำรงชัย" มองหุ้นไทยจุดเริ่มต้นขาขึ้น ลุ้น Fed ลดดอกเบี้ยหนุน SET ไปต่อ
ฟาก "ธำรงชัย เอกอมรวงศ์" หรือ "หยง" อีกหนึ่งนักลงทุนสายเทคนิคอล ระบุว่า ผลตอบแทนพอร์ตการลงทุนปีนี้กลับมาเป็นบวกแบบชนะตลาดพอสมควร เทียบกับปีก่อนที่เป็นบวกเพียงเล็กน้อย โดยสัดส่วนพอร์ตการลงทุนปีนี้ กลับมาถือหุ้นไทยมากขึ้น 95% และหุ้นนอกราว 2 - 3% ส่วนที่เหลือถือเงินสด
ด้านหุ้นไทยช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ที่ปรับตัวขึ้นมากว่า 100 จุด เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของขาขึ้น เพื่อรอรับข่าวดีจากต่างประเทศ คือ การลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ เป็นหลัก ซึ่งจะหนุนหุ้นไทยให้ปรับตัวขึ้นได้ต่อ
ส่วนการมีกองทุน "วายุภักษ์" กลับมา จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ตลาดหุ้นไทยได้ และจะช่วยประคองดัชนีไม่ให้ปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ หากมีปัจจัยลบสอดแทรกเข้ามา เนื่องจากมีเม็ดเงินมากของกองทุนดังกล่าวหนุนอยู่ แต่สำหรับผู้ถือหน่วยลงทุนอาจจะไม่ได้รับผลตอบแทนที่หวือหวาเหมือนกับในอดีต เพราะกองทุนวายุภักษ์ที่ตั้งขึ้นครั้งแรกอยู่ในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ทำให้สามารถซื้อหุ้นพื้นฐานดีในราคาถูกได้มาก เมื่อดัชนีรีบาวด์กลับผลตอบแทนจึงสูง แต่กองทุนวายุภักษ์ปัจจุบัน มีต้นทุนซื้อที่ค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับอดีต
สำหรับ กลยุทธ์การลงทุน ณ ปัจจุบัน ยังคงเน้นดู Valuation หุ้น ควบคู่กับดูกราฟประกอบกัน และถ้ามีปริมาณการซื้อขายเข้ามามากก็สามารถเข้าไปเก็งกำไรระยะสั้นได้เลย แต่หุ้นที่จะถือยาว ๆ จะเลือกหุ้นที่กำไรเติบโตต่อเนื่องแบบไม่ต้องหวือหวา แต่เน้นให้มีการจ่ายเงินปันผลระดับสูงต่อเนื่องเท่านั้น โดยมองว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และการแพทย์ จะเป็นอุตสาหกรรมดาวเด่นในช่วง 3 - 5 ปีจากนี้ ตามเทรนด์ของโลก
*** "ซัน กระทรวง" เผยกำไรพุ่ง 70 - 100 ลบ.
ขณะที่ "ซัน" หรือ "กระทรวง จารุศิระ" นักลงทุนสายเทคนิคอลรายใหญ่และผู้ก่อตั้ง "Super Trader" เปิดเผยว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนหุ้นปีนี้มีกำไรอยู่ราว 70 - 100 ล้านบาท (ปกติไม่เคยคำนวณเป็นเปอร์เซนต์) โดยประเมินว่า หุ้นไทยที่พลิกฟื้นช่วงนี้จะคงสภาพดังกล่าวได้อย่างน้อย 6 เดือน ซึ่งโดยปัจจัยที่จะช่วยประคอง SET Index ให้อยู่ในขาขึ้นไปจนถึงช่วงระยะเวลาดังกล่าว เพราะทางด้านจิตวิทยาอยู่ในแนวโน้มที่ดี ทั้งปัจจัยทางการเมืองที่มีสเถียรภาพมากขึ้น, เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลกลับ หลังจากขายหุ้นไทยอย่างรุนแรงเมื่อปีที่ผ่านมา ประกอบกับ ธนาคารกลางสหรัฐฯปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย
ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ส่วนตัวมองว่า ยังไม่น่าส่งผลเชิงบวกต่อภาวะเศรษฐกิจไทย และตลาดหุ้นไทยในระยะถัดไปมากนัก แต่ให้น้ำหนักไปที่กองทุน "วายุภักษ์" มากที่สุด แต่ก็มองว่าจะช่วยกระตุ้นได้เพียงระยะสั้นแบบชั่วคราวเท่านั้น เพราะสุดท้ายนักลงทุนก็จะกลับไปให้ความสำคัญกับผลการดำเนินงานของ บจ.อยู่ดี ถ้าผลการดำเนินงานไม่เติบโต นักลงทุนก็ไม่สนใจ
อย่างไรก็ตามหุ้นไทยจะกลับไปที่ระดับ 1,700 - 1,800 จุด ภายใน 2 - 3 ปีนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก เนื่องจากผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนกลุ่ม Real Sector ยังไม่มีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดด อีกทั้ง P/E ของตลาดหุ้นไทย ณ ปัจจุบันที่ 17-19 เท่า ถือว่าไม่ถูกแล้ว ซึ่งถ้าหุ้นไทยจะไประดับ 1,700 - 1,800 จุด ต้องขยับขึ้นไปเทรด P/E ราว 25 เท่า เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น
ด้านกลยุทธ์ลงทุนปัจจุบัน มีการลงทุนทุกประเภท ทั้งเก็งกำไรระยะสั้น หรือ ถือลงทุนยาวแบบ VI ขึ้นอยู่กับลักษณะของหุ้นที่เข้าไปลงทุน และสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลาที่ต้องปรับเปลี่ยนไปตามหน้างาน
นอกจากนี้มองว่า หุ้นที่ยังน่าสนใจลงทุนในอีก 3 - 5 ปี ข้างหน้า จะอยู่ในกลุ่มธุรกิจอาหาร และการแพทย์ เนื่องจากยังมีความต้องการในตลาดค่อนข้างสูง ยังพอไปได้ แต่อาจจะไม่ได้เติบโตโดดเด่นเท่าไร ซึ่งถ้าจะหาหุ้นที่เติบโตโดดเด่นในอนาคต จะต้องเป็นหุ้นที่ทำธุรกิจใหม่ ๆ เกี่ยวกับนวัตกรรม แต่ในตลาดหุ้นไทยยังไม่มีหุ้นแบบนั้น