efinancethai

ประเด็นร้อน

เปิดกลยุทธ์ลงทุนเดือน เม.ย.66 - พร้อม 26 หุ้นเด่นน่าสะสม

เปิดกลยุทธ์ลงทุนเดือน เม.ย.66 - พร้อม 26 หุ้นเด่นน่าสะสม

 

โบรกฯมอง SET เดือน เม.ย.66 ส่อแววผันผวน เหตุตลาดพลิกกลับมากังวลปัญหาเงินเฟ้อ-ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ หลังกลุ่มโอเปกพลัสประกาศลดการผลิตน้ำมันลงกระทันหัน ประเมินดัชนีฯเคลื่อนไหวในกรอบ 1,560 – 1,650 จุด พร้อมชี้เป้า 26 หุ้นเด่นน่าสะสม

 


"สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ได้รวบรวมกลยุทธ์การลงทุนและ-หุ้นเด่น เดือนเม.ย.66 จาก 4 โบรกเกอร์ ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่ประเมินว่าดัชนีหุ้นไทย (SET Index) มีแนวโน้มปรับตัวผันผวน เหตุกังวลปัญหาเงินเฟ้อและทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ หลังกลุ่มโอเปกพลัสประกาศลดการผลิตน้ำมันลงอีก 1.16 ล้านบาร์เรลต่อวัน พร้อมคาดวอลุ่มเทรดซบเซา เหตุมีวันหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์และนักลงทุนรอดูบจ.ประกาศงบ Q1/66

 


*** ยูโอบีฯ คาด SET เดือน เม.ย. ปรับตัวผันผวน กังวลปัญหาเงินเฟ้อ-ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ

 

นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยกับ "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทย (SET INDEX) ในช่วงเดือน เม.ย.66 คาดว่าดัชนีฯอาจปรับตัวผันผวน เนื่องจากรับแรงกดดันจากกรณีกลุ่มโอเปก พลัส (OPEC+) ประกาศลดการผลิตน้ำมันลงอีก 1.16 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งจะกระทบต่อความกังวลการควบคุมปัญหาเงินเฟ้อของสหรัฐฯและทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกอบกับต้องระมัดระวังการเคลื่อนไหวของหุ้น บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA ที่ปรับตัวขึ้นมาแรงในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งหากราคาหุ้นปรับตัวลดลงรุนแรงก็อาจมีผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีฯได้ เนื่องจากมีน้ำหนักคำนวนในดัชนีหุ้นไทยค่อนข้างมาก

 


ทั้งนี้การเคลื่อนไหวของ SET Index ในช่วงเดือน เม.ย.66 คาดว่าจะอยู่ที่บริเวณ 1,580 – 1,650 จุด โดยประเมินว่ากลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากการปรับลดการผลิตน้ำมันลงของกลุ่มโอเปกพลัส ได้แก่ กลุ่มพลังงาน,ค้าปลีก และโรงไฟฟ้า ส่วนกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว คือ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มธนาคารพาณิชย์

 

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะเลือกลงทุนหุ้นที่ผลประกอบการออกมาดี ซึ่งใช้จังหวะเข้าซื้อในช่วงที่ดัชนีฯย่อตัว ด้านหุ้นเด่นประจำเดือน เม.ย.66 ได้แก่ ESSO-PTTEP-BJC-MAJOR-GUNKUL-GULF

 


*** เอเซีย พลัส แนะนำคงน้ำหนักพอร์ตหุ้นไทย 30% หวังพึ่งฟันโฟลว์ต่างชาติเป็นหลัก

 

บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ระบุว่าภาวะตลาดหุ้นไทยเดือน เม.ย.66 ประเมินว่าปัจจัยภายนอกที่ยังมีน้ำหนักไปทางสร้างแรงกดดันทั้งประเด็นความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์และความเสี่ยงเชิงเศรษฐกิจ หลังธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐฯและยุโรปประสบปัญหาสภาพคล่องจนธนาคารกลางต้องเข้าแทรกแทรง ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อของหลายประเทศยังไม่ปรับตัวลงเท่าที่ธนาคารกลางหลายแห่งต้องการ ซึ่งส่งผลให้ MSCI World ปรับตัวลง 2%mtd

 

ทั้งนี้ต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจเดือนเม.ย.ว่าจะเป็นเช่นไร ซึ่งจะส่งผลต่อนโยบายทางการเงินของแต่ละประเทศ ขณะที่ประเด็นการเลือกตั้งภายในประเทศ ลุ้นปัจจัยเชิงบวกต่อตลาด หลังรู้ผลการเลือกตั้ง ส่วนกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ผ่านช่วงการปรับลดประมาณการมาแล้ว ซึ่งปัจจุบัน EPS ปี66 อยู่ที่ 91.8 บาท/หุ้น หรือคิดที่ระดับ Market Earning Yield Gap ระดับ 4.2% จะได้เป้าหมาย SET Index ที่ระดับ 1,610 จุด

 

ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทย แนะนำคงน้ำหนักพอร์ตหุ้นไทย 30% ของพอร์ต โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index เดือน เม.ย.66 ไว้ที่ 1,560 – 1,640 จุด โดยปัจจัยขับเคลื่อน SET Index ยังคงหวังพึ่งกระแสฟันโฟลว์ต่างชาติเป็นหลัก ส่วนปัจจัยกดดันยังมีอยู่จากปัจจัยภายนอกประเทศ ซึ่งกลยุทธ์ยังคงให้ทยอยสะสมหุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวหรือกำไรเด่นในไตรมาส 2

 

ส่วนหุ้นเด่นประจำเดือน เม.ย.66 ได้แก่ ADVANC-AMATA-BGRIM-SNNP-JMT-STEC

 


*** เมย์แบงก์ฯ คาดวอลุ่มเทรดซบเซา เหตุมีวันหยุดยาว-นลท.รอดูงบ Q1/66

 

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าคาดว่าดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวแบบไซด์เวย์ เนื่องจากปกติโดยรวมตลาดช่วงเดือนเม.ย.วอลุ่มเทรดไม่ค่อยเยอะมากนัก เพราะมีวันหยุดยาวช่วงเทศกาลค่อนข้างมาก ประกอบกับคาดว่านักลงทุนส่วนใหญ่จะรอดูทิศทางการประกาศงบของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในงวดไตรมาส 1/66 ก่อน จึงทำให้การเข้าเทรดเพื่อเก็งกำไรอาจทำได้ค่อนข้างยาก นอกจากนี้ยังมีปัจจัยความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยเข้ามาเพิ่มเติม หลังกลุ่ม OPEC+ ประกาศลดการผลิตน้ำมันลง

 

ทั้งนี้การเคลื่อนไหวของ SET Index ในช่วงเดือน เม.ย.66 คาดว่าจะอยู่ที่บริเวณ 1,550 – 1,630 จุด สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำนักลงทุนเน้นกลุ่มที่ผลประกอบการออกมาดี อาทิ กลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นหรือตั้งรับหุ้นที่อิงเศรษฐกิจภายในประเทศช่วงตลาดย่อตัว โดยมีหุ้นที่แนะนำ ได้แก่ PTTEP-TOP-ADVANC-CPALL-COM7-SPA-SAPPE

 

*** ทรีนีตี้ คาดตลาดหุ้นมีความเสี่ยงมากขึ้น แนะขึ้นขาย-ลงซื้อตามกรอบ

 

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่าประเมินตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงมากขึ้นในเดือนเม.ย.66 จากตอนแรกที่เคยมองไว้ว่าหนทางค่อนข้างสะดวก เพราะมีทั้งปัจจัยผลักดันเม็ดเงินฟันด์โฟลว์และปัจจัยดึงดูดในส่วนของธีมการเลือกตั้งบ้านเรา อย่างไรก็ดีด้วยการประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันขนานใหญ่ของกลุ่ม OPEC+ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มองว่าหากเกิดขึ้นจริง ปัจจัยนี้อาจเป็นจุดพลิกเกมส์ที่สำคัญของการลงทุนทั่วโลกในช่วงถัดไปและจะทำให้สมมติฐานการลงทุนเดิมหลายๆอย่างจะต้องมีการปรับเปลี่ยนด้วยเช่นกัน

 

ทั้งนี้ประเมินกรอบแนวต้านแรกของ SET เดือนนี้ไว้ที่ 1,640 จุด ส่วนกรอบแนวต้านสำคัญที่ไม่น่าทะลุ ได้แก่ ระดับสูงสุดเดิมของปีที่ 1,690 จุด เนื่องจากเป็นระดับที่ตึงตัวในแง่ของ Valuation แล้ว ในทางกลับกันให้กรอบแนวรับแรกไว้ที่ 1,580-1,600 จุด แต่อาจต้องแบ่งไม้ในการเข้าซื้อ เผื่อดัชนีมีการ Price in ปัจจัยเสี่ยงใหม่ที่เกิดขึ้น โดยมองกรอบแนวรับสำคัญเดือนนี้ที่บริเวณ 1,550-1,560 จุด

 

ขณะที่ในเชิงกลยุทธ์แนะขึ้นขาย-ลงซื้อตามกรอบดังกล่าว ส่วนในแง่ของกลุ่มหุ้นนั้นจากความเสี่ยงทางด้านต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อความเสี่ยงเงินเฟ้อด้านสูงและการเข้มงวดนโยบายการเงินในช่วงถัดไป แต่ในระยะสั้นอาจมีธีมการเลือกตั้งช่วยหนุนภาคการบริโภคภายในอยู่ได้บ้าง จึงขอโฟกัสไปยังกลุ่มบริการเป็นหลัก เนื่องจากดูแล้วค่อนข้างปลอดภัยที่สุดจากเหตุการณ์ต่างๆตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มโรงพยาบาล, โรงแรม, ร้านอาหาร, ค้าปลีก และสื่อฯ เป็นต้น โดยมีหุ้นที่แนะนำ ได้แก่ BDMS-BH-CENTEL-ERW-AU-ZEN-CRC-DOHOME-PLANB

 

สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม จับตาการตอบรับเชิงบวกในระยะสั้นของราคาน้ำมันดิบ หลังซาอุฯและประเทศสมาชิกในกลุ่ม OPEC+ ประกาศหั่นกำลังการผลิตน้ำมันรวมกันราว 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยเป็นสัดส่วนของซาอุฯเอง 5 แสนบาร์เรลต่อวัน และจะเริ่มต้นตั้งแต่เดือนพ.ค.นี้ไปจนถึงสิ้นปี ซึ่งเมื่อมารวมกับการลดกำลังการผลิตเดิมของรัสเซียที่ระดับ 5 แสนบาร์เรลต่อวันที่มีการต่ออายุเพิ่มเติมออกไปอีกจนกระทั่งถึงสิ้นปีนี้ จะทำให้กำลังการผลิตที่หายไปทั้งสิ้นรวมเป็น 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน หากเกิดขึ้นจริงจะถือว่าเป็นระดับที่มีนัยสำคัญมากต่อสมดุล Demand-Supply ในตลาดพลังงานโลกได้
 

แบบสอบถามความพึงพอใจ






ข่าวหุ้นอื่นๆที่น่าสนใจ

RECOMMENDED NEWS

ข่าวหุ้นยอดนิยม

Refresh




LATEST NEWS

ข่าวหุ้นล่าสุด

Refresh

ดูข่าวทั้งหมด