efinancethai

ประเด็นร้อน

เปิดแผนปรับกลยุทธ์ หลัง SET หลุด 1,500 จุด

เปิดแผนปรับกลยุทธ์ หลัง SET หลุด 1,500 จุด

หุ้นไทยเดือน ก.ย.ดิ่ง 68.79 จุด หลุด 1,500 จุด หลังนักลงทุนกังวล ดอกเบี้ยยังไม่หยุดเป็นขาขึ้น แถมนโยบายแจกเงินดิจิทัลจ่อสร้างหนี้มโหฬาร คาดดัชนีลงลึกได้ถึง 1,460 จุด แนะถือเงินสดเพิ่ม รอจังหวะเข้าสะสมที่แนวรับ เพราะระยะกลาง-ยาวพื้นฐานยังดูดี เน้นเลือกหุ้นงบครึ่งหลังแนวโน้มโตแจ่ม รวมถึงกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่


*** เดือน ก.ย. SET Index ดิ่ง 68.79 จุด หลุด 1,500 ไปแล้ว

ข้อมูลสถิติดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) เดือนตั้งแต่ 1 - 27 ก.ย.66 ปรับตัวลดลง 68.79 จุด โดยล่าสุดปิดที่ 1,497.15 จุด หรือลดลง 4.4% จากเดือนก่อนหน้า แถมมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลงเหลือ 4.6 หมื่นล้านบาท จากเดือน ส.ค.ที่เฉลี่ย 5.7 หมื่นล้านบาทต่อวัน 

ขณะเดียวกันแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยเดือนนี้ขายสุทธิ 2.3 หมื่นล้านบาท สูงสุดในรอบ 4 เดือนหลัง โดยเป็นการขายสุทธิ 8 เดือนติด (ก.พ.-ก.ย.66)


*** นลท.กังวล ดอกเบี้ยขึ้นไม่หยุด + นโยบายรัฐฯ จ่อสร้างหนี้สูง 
    
"เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม" ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย พลัส ระบุว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงหลุดระดับ 1,500 จุด เนื่องจากได้รับความกังวลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งมีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นอีก 0.25% เป็น 2.5% ต่อปี และมีผลทันที ซึ่งเป็นระดับอัตราดอกเบี้ยที่สูงสุดในรอบเกือบ 10 ปี ขณะเดียวกันที่ประชุมยังปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้เหลือโต 2.8% จากเดิมคาด 3.6% ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน

เช่นเดียวกับ "ณัฐพล คำถาเครือ" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินว่า SET Index ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเดือนนี้จนหลุดระดับ 1,500 จุด เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก ที่กังวลต่อแนวโน้มดอกเบี้ยในตลาดจะยังทรงตัวในระดับสูงยาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ของหลายประเทศเร่งปรับตัวสูงขึ้น ดึงเงินไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง ขณะที่ SET Index มีแรงเทขายออกมากดดันต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีความเชื่อมโยงกับ Bond Yield รวมถึงกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่จากช่วงต้นปีถึงปัจจุบัน ยังไม่สามารถให้ผลตอบแทนการลงทุนที่เป็นบวก ขณะเดียวกันนักลงทุนต่างชาติมีการขายออกเพื่อลดความเสี่ยงจากความกังวลแหล่งที่มาของเงินที่จะนำมาดำเนินนโยบาย Digital Wallet ของรัฐบาล ซึ่งอาจจะสร้างภาระการเงินการคลังให้เพิ่มสูงขึ้น 

ด้าน "ธีรศักดิ์ ธนวรากุล" รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ประเมินว่า สาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่องช่วงนี้ เพราะได้รับปัจจัยกดดันจากเงินบาทอ่อนค่า และความกังวลต่อมาตรการรัฐที่อาจก่อหนี้เพิ่มขึ้น จากมาตรการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท

รวมถึง "กิจพณ ไพรไพศาลกิจ" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล. ยูโอบี เคย์เฮียน มองว่า สาเหตุหลักที่ทำให้หุ้นไทยหลุด 1,500 จุด มาจากแนวโน้มดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงนานกว่าที่คาดการณ์ หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังไม่มีท่าทีผ่อนคลายการขึ้นดอกเบี้ยในรอบถัดไป หนุนให้ผลตอบแทนพันธบัตร, ตราสารหนี้เพิ่มขึ้น ทำให้การลงทุนในหุ้นมีความน่าสนใจลดลง เนื่องจากนักลงทุนมองว่ามีต้นทุนที่สูงขึ้น 

 

*** ลงต่ำสุดได้ถึง 1,460 จุด แนะถือเงินสดเพิ่ม รอทยอยซื้อที่แนวรับ

"กรภัทร วรเชษฐ์" ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.กรุงศรี พัฒนสิน ประเมินกรอบแนวรับรอบนี้ไว้ที่ 1,460 - 1,480 จุด โดยปัจจัยที่ถ่วงดัชนีคือเงินบาทที่อ่อนค่า และความกังวลเรื่องดอกเบี้ยขาขึ้น รวมถึงนโยบายรัฐฯ ที่อาจจะต้องก่อหนี้ครั้งใหญ่ ขณะที่ประเมินกรอบแนวต้านที่ 1,540 - 1,560 จุด โดยปัจจัยที่จะหนุนให้ SET Index ฟื้นตัวได้ คือ มาตรการฟรีวีซ่า ต้องติดตามดูว่าจะสามารถกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวได้มากแค่ไหน หากทำได้ดีจะสร้างความเชื่อมั่นกลับมาได้ โดยแนะนำ หาจังหวะทยอยเข้าสะสมหุ้นในช่วงดัชนีฯ ต่ำกว่า 1,500 จุด เลือกกลุ่มหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการรัฐฯ อาทิ SCGP, CPAXT และ AOT 

ส่วน "กิจพณ ไพรไพศาลกิจ" ประเมินว่า หลังจากที่ กนง. เพิ่งประกาศขึ้นดอกเบี้ยจะยังคงกดดัน SET Index ต่อไปอีกระยะ คาดมีโอกาสจะทำระดับต่ำสุดที่บริเวณ 1,470 - 1,485 จุด โดยการฟื้นตัวกลับขึ้นมาของดัชนีอาจต้องหวังปัจจัยบวกจากการปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 66 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่เริ่มถูกทยอยปรับขึ้น หากมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ก็จะเป็นแรงหนุนดัชนีฟื้นตัวได้ สำหรับกลยุทธ์ลงทุน ยังคงต้องรอจังหวะคลายตัวจากความกดดันของการขึ้นดอกเบี้ยรอบล่าสุดไปก่อน แนะนำ ลงทุนหุ้นที่ผลการดำเนินงานครึ่งหลังของปี 66 มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่น เช่น BDMS, ADVANC, ERW และ SPA 

ขณะที่ "เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม" คาดว่า ดัชนีฯ มีโอกาสทำระดับจุดต่ำสุดที่บริเวณ 1,480 จุด (เดิมคาด 1,486 จุด) แนะนำ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยรอดูจังหวะสักระยะ เพื่อให้แรงกดดันต่อการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายที่กดดันตลาดหุ้นค่อย ๆ คลายตัวเสียก่อนจึงเข้าลงทุน โดยให้ถือเงินสดเพิ่มในช่วงนี้ ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง แนะนำ เก็งกำไรหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว อาทิ BBL, TU และ SCGP ที่ได้รับอานิสงส์จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย และเงินบาทอ่อนค่า 

ด้าน "ณัฐพล คำถาเครือ" มองว่า ดัชนีหุ้นไทยจะปรับลดลงไม่หลุดต่ำกว่าที่ระดับต่ำสุดเดิมบริเวณ 1,485 จุด หรือ 1,480 จุด ซึ่งถือเป็นแนวรับที่ค่อนข้างแข็งแรงซึ่งหากดัชนีฯ ย่อลงมาน่าจะมีแรงรับซื้อ โดยหากรัฐบาลสามารถสรุปความชัดเจนของแหล่งเงิน Digital Wallet ออกมาได้ (คาดช่วง ต.ค.นี้) จะเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติคลายความกังวลและกลับมามีความมั่นใจในตลาดหุ้นไทย เพราะจะเห็นว่าไม่มีผลกระทบกับภาคการคลังและเป็นมาตรการที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปีหน้า

ฟาก "ธีรศักดิ์ ธนวรากุล" ประเมินกรอบแนวรับแนวต้านรอบนี้ไว้ที่ 1,480 - 1,520 จุด โดยปัจจัยกดดันเป็นเรื่องของความกังวลเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงต่อไป ส่วนปัจจัยที่จะช่วยให้ดัชนีฟื้นตัวได้ คือ เงินดอลลาร์ต้องอ่อนค่า ซึ่งอาจต้องรอสัญญาณการชะลอขึ้นดอกเบี้ยของ FED โดยหากเกิดขึ้น จะมีแรงซื้อจากต่างชาติกลับมาอีกครั้ง กลยุทธ์ลงทุน แนะนำ รองจังหวะทยอยเข้าสะสมหุ้นบริเวณดัชนี 1,480 จุด เน้นเลือกหุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น เช่น BBL และ KTB ส่วนอีกกลุ่ม คือ กลุ่มผลการดำเนินงานเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ประกอบด้วย BCH, CHG, BH และ BDMS       

แบบสอบถามความพึงพอใจ






ข่าวหุ้นอื่นๆที่น่าสนใจ

RECOMMENDED NEWS

ข่าวหุ้นยอดนิยม

Refresh




LATEST NEWS

ข่าวหุ้นล่าสุด

Refresh

ดูข่าวทั้งหมด