ผลตอบแทน ETF ปีนี้แกร่ง บวกเฉลี่ย 9.5% ชนะ SET ที่บวกเพียง 2.6% พบ "CHINA" ให้ผลตอบแทนสูงสุดถึง 24% แถมผลตอบแทน 3 เดือน และ 6 เดือนหลังสุด ยังมากที่สุดถึง 21% และ 16% ตามลำดับอีกด้วย ขณะที่ TDEX มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิสูงสุด 3.9 พันล้านบาท ด้าน ตลท.แนะกลยุทธ์ลงทุน ETF ต้องให้ความสำคัญค่าธรรมเนียม - NAV - สภาพคล่องซื้อขายเป็นหลัก !
*** ผลตอบแทน ETF ปีนี้แจ่ม บวกชนะ SET กระจุย
"สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" สำรวจผลตอบแทนกองทุนรวมดัชนี (Index Fund) หรือ Exchange Traded Fund (ETF) ตั้งแต่ต้นปี พบว่า กองทุนดังกล่าวทั้ง 10 กอง ให้ผลตอบแทนเป็นบวกแทบทั้งหมด โดยผลตอบแทน YTD บวกเฉลี่ย 9.5% มากกว่าผลตอบแทนดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ที่ในช่วงดังกล่าวบวกเพียง 2.6%
ผลตอบแทน ETF ปีนี้แจ่ม บวกแทบยกแผง สูงสุด 24%
|
ชื่อย่อหลักทรัพย์
|
ผู้ออกหลักทรัพย์ (บลจ.)
|
ราคาปิดล่าสุด (บ.)
|
%chg 3m
|
%chg 6m
|
%chg YTD
|
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (ลบ.)
|
CHINA
|
กรุงไทย
|
6.74
|
21.66
|
16.61
|
24.13
|
422.06
|
GLD
|
กรุงไทย
|
3.53
|
1.15
|
4.44
|
22.57
|
439.97
|
UHERO
|
ยูโอบี
|
8.17
|
9.66
|
13.16
|
12.07
|
188.48
|
1DIV
|
วรรณ
|
11.14
|
12.87
|
14.85
|
10.3
|
189.67
|
UBOT
|
ยูโอบี
|
13.6
|
-0.07
|
-
|
7.09
|
53.94
|
BSET100
|
บางกอกแคปปิตอล
|
9.87
|
13.58
|
10.03
|
6.7
|
1,167.76
|
BMSCITH
|
บางกอกแคปปิตอล
|
10.54
|
12.13
|
8.44
|
6.46
|
980.18
|
BMSCG
|
บางกอกแคปปิตอล
|
10.02
|
9.03
|
6.03
|
5.36
|
319.24
|
TDEX
|
วรรณ
|
9.06
|
13.11
|
10.49
|
5.23
|
3,979.71
|
ENGY
|
อีสท์สปริง
|
4.92
|
4.68
|
-6.11
|
-4.84
|
63.96
|
ที่มา : SETSMART ณ 8 ต.ค.67
*ราคาปิดล่าสุด 8 ต.ค.67
|
10 กองทุน ETF ดังกล่าว ส่วนใหญ่อ้างอิงดัชนีในประเทศ จำนวน 6 กองทุน รองลงมา คือ กองทุนที่อ้างอิงดัชนีต่างประเทศ 3 กองทุน ส่วนที่เหลืออีก 1 กองทุน เป็นหลักทรัพย์ที่อ้างอิงสินค้าโภคภัณฑ์
*** "CHINA" ผลตอบแทน YTD สูงสุดถึง 24%
โดย กองทุนเปิดดับเบิลยูไอเอสอี เคแทม ซีเอสไอ 300 ไชน่า แทร็กเกอร์ (CHINA) จากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย เป็นกองทุน ETF ที่ให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีสูงที่สุดถึง 24.13% รองลงมา คือ กองทุนเปิดเคแทม โกลด์ อีทีเอฟ แทร็กเกอร์ (GLD) จาก บลจ.กรุงไทย ที่ให้ผลตอบแทนช่วงดังกล่าว 22.57%
นอกจากนี้ ยังมีกองทุน ETF อีก 2 กอง ที่ผลตอบแทน YTD บวกมากกว่า 10% ประกอบด้วย กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ฮีโร่ อีทีเอฟ (UHERO) จาก บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) ที่ให้ผลตอบแทน 12.07% และ กองทุนเปิดไทยเด็กซ์ SET High Dividend ETF (1DIV) จาก บลจ.วรรณ ให้ผลตอบแทน 10.3%
*** ผลตอบแทน 6 เดือนหลัง มี 5 กอง บวกมากกว่า 10%
ขณะที่ เมื่อสำรวจผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน พบว่า มีกองทุน ETF ถึง 5 กองทุน จาก 10 กองทุน ที่ให้ผลตอบแทนช่วงดังกล่าวบวกมากกว่า 10% ประกอบด้วย กองทุนเปิดดับเบิลยูไอเอสอี เคแทม ซีเอสไอ 300 ไชน่า แทร็กเกอร์ (CHINA) จาก บลจ.กรุงไทย ให้ผลตอบแทน 16.61% รองลงมา คือ กองทุนเปิดไทยเด็กซ์ SET High Dividend ETF หรือ (1DIV) จาก บลจ.วรรณ ให้ผลตอบแทน 14.85%
ด้าน กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ฮีโร่ อีทีเอฟ (UHERO) จาก บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) ให้ผลตอบแทน 13.16%, กองทุนเปิด ไทยเด็กซ์ เซ็ท 50 อีทีเอฟ (TDEX) จาก บลจ.วรรณ ให้ผลตอบแทน 10.49% และ กองทุนเปิด BCAP SET 100 ETF หรือ (BSET100) จาก บลจ.บางกอกแคปปิตอล ให้ผลตอบแทน 10.03%
*** ผลตอบแทน 3 เดือนหลัง มี 5 กอง บวกมากกว่า 10%
ขณะเดียวกัน เมื่อสำรวจผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน พบว่า มีกองทุน ETF ถึง 5 กองทุน จาก 10 กองทุน ที่ให้ผลตอบแทนช่วงดังกล่าวบวกมากกว่า 10% ประกอบด้วย กองทุนเปิดดับเบิลยูไอเอสอี เคแทม ซีเอสไอ 300 ไชน่า แทร็กเกอร์ (CHINA) จาก บลจ.กรุงไทย ให้ผลตอบแทน 21.66% รองลงมา คือ กองทุนเปิด BCAP SET 100 ETF หรือ (BSET100) จาก บลจ.บางกอกแคปปิตอล ให้ผลตอบแทน 13.58%
ฟาก กองทุนเปิด ไทยเด็กซ์ เซ็ท 50 อีทีเอฟ (TDEX) จาก บลจ.วรรณ ให้ผลตอบแทน 13.11%, กองทุนเปิดไทยเด็กซ์ SET High Dividend ETF (1DIV) จาก บลจ.วรรณ ให้ผลตอบแทน 12.87% และ กองทุนเปิด BCAP MSCI THAILAND ETF หรือ (BMSCITH) จาก บลจ.บางกอกแคปปิตอล ให้ผลตอบแทน 12.13%
*** เช็ก NAV ล่าสุด มี 2 กองทุนมูลค่าเกิน 1 พันลบ.
ทั้งนี้ เมื่อสำรวจมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของ 10 กองทุน ETF ดังกล่าว พบว่า มี 2 กองทุน ที่ NAV มีมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านบาท นำโดย กองทุนเปิด ไทยเด็กซ์ เซ็ท 50 อีทีเอฟ (TDEX) จาก บลจ.วรรณ ที่ล่าสุด มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิสูงสุด 3,979.71 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20.65%
ส่วน กองทุนเปิด BCAP SET 100 ETF หรือ (BSET100) จาก บลจ.บางกอกแคปปิตอล ล่าสุด มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1,167.76 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6.06%
*** ตลท.เปิด 3 เทคนิคลงทุน ETF
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การเลือกลงทุนกองทุน ETF ต้องใช้ 3 เทคนิค ประกอบกันดังนี้ 1.ให้ความสำคัญกับค่าธรรมเนียม : ETF มีนโยบายการลงทุนที่เน้นสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีหรือราคาของสินทรัพย์ที่ใช้อ้างอิง ไม่ได้เน้นสร้างผลตอบแทนที่เอาชนะตลาดเหมือนกองทุนส่วนใหญ่ จึงทำให้ ETF มีค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการที่ต่ำกว่ากองทุนทั่วไป
แม้ ETF จะมีค่าบริหารจัดการที่ต่ำ แต่ก็มีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอีกหลายอย่างที่ต้องดู เช่น ค่าผู้ดูแลรักษาผลประโยชน์, ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบบัญชี, ค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขาย เป็นต้น ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดนี้จะถูกรวมอยู่ในอัตราส่วนค่าใช้จ่ายรวม (Total Expense Ratio) ซึ่งจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อปี และจะถูกตัดออกจากมูลค่าพอร์ตของนักลงทุนวันละนิด โดยที่หลายคนไม่รู้มาก่อน เพราะราคา NAV ที่ประกาศออกมาในแต่ละวัน ได้มีการหักค่าใช้จ่ายเหล่านี้ออกไปเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย ที่จะถูกคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการซื้อขาย ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ที่ 0.15% หรือบางแห่งอาจเก็บขั้นต่ำวันละ 50 บาท แถมยังต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT อีก 7% ของค่าธรรมเนียม แต่บางแห่งก็อาจไม่เก็บค่าธรรมเนียมในส่วนนี้เลย ดังนั้นนักลงทุนจึงต้องอ่านรายะเอียดเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมของแต่ละกองทุนให้ดี สรุปแล้ว นักลงทุนควรเลือก ETF ที่มีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่ำๆ เพราะยิ่งมีต้นทุนต่ำ ยิ่งทำให้มั่นใจได้ว่า จะได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง และโดนหักไปเป็นค่าบริหารงานของกองทุนน้อยที่สุด
2.อย่าละเลย NAV : สินทรัพย์การลงทุนทุกประเภท ควรดูมูลค่าที่เหมาะสมทุกครั้งก่อนตัดสินใจลงทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น, ทองคำ หรือ น้ำมัน ดังนั้น ETF ก็เช่นกัน ที่ต้องดูราคาที่เหมาะสมด้วย แต่ ETF ไม่มีบทวิเคราะห์ที่จะบอกราคาเหมาะสมหรือราคาเป้าหมายเหมือนหุ้น เพราะไม่ได้มีผลประกอบการที่จะสามารถวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานได้ อีกทั้งราคาซื้อขาย ETF ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของนักลงทุนในตลาด ไม่ใช่เกิดจาก NAV เหมือนกองทุนรวมทั่วไป
บลจ.จึงมีการคำนวณและเผยแพร่ NAV ที่เป็นประมาณการของ NAV ในช่วงเวลาการซื้อขายระหว่างวัน โดยจะอัปเดททุก 15 วินาที หรือ 30 วินาที เพื่อให้นักลงทุนใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน ซึ่งช่วยในการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของ ETF ได้
3.ไม่ควรมองข้ามสภาพคล่อง : หลายคนเมื่อเจอ ETF ที่ถูกใจ ดู NAV แล้ว เหมาะสม ก็พร้อมกระโจนเข้าซื้อ แต่ดันลืมดูสภาพคล่อง ทั้งที่จริงแล้วสภาพคล่องในการซื้อขายถือเป็นหัวใจสำคัญอย่างหนึ่งของการลงทุนใน ETF เลยก็ว่าได้
เนื่องจากในประเทศไทย ETF ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก ทำให้ ETF บางตัว มีสภาพคล่องน้อยไปสักนิด นักลงทุนจึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการเลือกลงทุน ดังนั้น ก่อนที่จะซื้อ ETF อย่าลืมพิจารณาสภาพคล่อง โดยเลือก ETF ที่มีมูลค่าและปริมาณการซื้อขายสูง ๆ หรือมีความแตกต่างระหว่างราคาเสนอซื้อกับราคาเสนอขาย (Bid-Ask Spread) ต่ำ ๆ เพราะสิ่งเหล่านี้จะสะท้อนให้เห็นถึงความนิยมใน ETF นั้น ๆ และส่งผลต่อราคาซื้อหรือราคาขาย ETF ที่จะได้รับ ทำให้นักลงทุนไม่เสียโอกาสเวลาขายทำกำไร