เช้านี้ TOP บวกสูงสุด 3.18% หลังรับอานิสงส์ความต้องการน้ำมันในจีนสูงขึ้นยกกลุ่ม ขณะที่โบรกฯประเมินกำไร Q4/65 ฟื้นแรง หลังโรงกลั่นเข้าไฮซีซั่น - อะโรเมติกส์ Breakeven แต่ผลการดำเนินงานปี 66 กลับสู่ภาวะปกติ คาดกดกำไรวูบ 68% แต่โบรกฯยังมองหุ้นน่าสนใจ เหตุกำไรยังสูง – Valuation ไม่แพง – ปันผลแจ่ม – อัพไซด์เพียบ !
*** บวกสูงสุด 3.18% รับดีมานด์น้ำมันจีนพุ่ง
ราคาหุ้น บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ช่วงเช้าวันนี้ (16 ม.ค.66) ดีดขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ราคา 56.75 บาท เพิ่มขึ้น 3.18% จากวันทำการก่อนหน้า ก่อนปิดซื้อขายภาคเช้าด้วยราคา 56.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.5 บาท หรือ 2.73% มีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น 102.17% จาก 5 วันทำการก่อนหน้า
บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้น TOP เช้านี้ ปรับตัวขึ้นสูงสุด 3.18% เนื่องจากกำลังได้รับปัจจัยหนุน จากแนวโน้มตัวเลขการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปของจีนเดือน ม.ค. 66 จะปรับตัวลดลงราว 40% จากเดือน ธ.ค. 65 ที่ระดับ 7.7 ล้านตัน
ทั้งนี้ เป็นผลมาจากความต้องการใช้น้ำมันภายในประเทศจีนที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังเปิดประเทศในช่วงต้นเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ปัจจัยดังกล่าวเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อหุ้นในกลุ่มโรงกลั่นของไทย โดยเฉพาะ TOP ด้วย
*** กูรูชี้โรงกลั่นไฮซีซั่น หนุนกำไร Q4/65 ฟื้น
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ประเมินว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/65 ของ TOP มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นจากไตรมาสก่อน เนื่องจากคาดว่าค่าการกลั่น จะฟื้นตัวขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล (ไฮซีซั่น) หลังทวีปยุโรปเข้าสู่ฤดูหนาว ทำให้มีความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น อีกทั้ง Crude Premium (ต้นทุนหลัก) ปรับตัวลงมาอยู่ที่ราว 7 เหรียญ/บาร์เรล (ไตรมาสก่อน 10 เหรียญ/บาร์เรล)
ขณะเดียวกัน อุปทานคาดว่ายังคงอยู่ในระดับตึงตัว จากปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปในคลังอยู่ในระดับต่ำ และคาดว่าปริมาณการใช้น้ำมันในประเทศไทย ยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตามภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างโดดเด่น โดยประเมิน utilization rate ของ TOP จะอยู่ที่ระดับ 104 – 105%
เช่นเดียวกับ บล.เอเซีย พลัส ที่ประเมินผลการดำเนินงานปกติไตรมาส 4/65 ของ TOP จะปรับตัวขึ้นจากไตรมาสก่อน ตามสมมติฐานค่าการกลั่นที่คาดจะปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 10 เหรียญ/บาร์เรล (ไตรมาสก่อนเฉลี่ย 7 เหรียญ/บาร์เรล) ตามผลของฤดูกาลที่จะเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวในหลายทวีปทั่วโลก ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น
สะท้อนจาก Spread น้ำมันกลุ่ม middle distillate ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 35 – 40 เหรียญ/บาร์เรล อีกครั้ง ประกอบกับ จะได้รับปัจจัยหนุนจากต้นทุนวัตถุดิบน้ำมันดิบปรับตัวลง โดย Crude Premium ในงวดไตรมาส 4/65 ลดลงราว 3เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ อัตราการเดินเครื่องกลั่นน่าจะอยู่ในระดับ 104%
*** แถมธุรกิจอะโรเมติกส์ Breakeven
บล.เอเซีย พลัส ยังระบุต่อ ไปว่า นอกจากธุรกิจโรงกลั่นแล้ว TOP ยังจะได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของธุรกิจอะโรเมติกส์ ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน ขยับมาอยู่ในจุด Breakeven หรือเป็นกำไรบาง ๆ ได้ตามผลของฤดูกาล ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นในการเก็บสต๊อกเพื่อผลิตสินค้าเตรียมไว้สำหรับเทศกาลตรุษจีน และปีใหม่
โดยคาด contribution จากธุรกิจอะโรเมติกส์+LAB จะเพิ่มมาอยู่ที่ราว 0.5 – 0.8 เหรียญ/บาร์เรล ส่งผลให้กำไรสุทธิปี 65 มีแนวโน้มทำได้ราว 3.5 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้น 179% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่นักวิเคราะห์อีก 2 ราย ประเมินกำไรสุทธิปี 65 ของ TOP ไว้ดังนี้
บล. | กำไรสุทธิปี 65 (ลบ.) | %chg YoY |
หยวนต้า | 39,055 | 211 |
ฟิลลิป | 33,324 | 165 |
*** แต่ปี 66 กลับสู่ภาวะปกติ กดกำไรวูบ
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ประเมินกำไรสุทธิปี 66 ของ TOP ไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาท หดตัว 68% จากปีก่อน เนื่องจากค่าการกลั่นปีนี้จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติราว 7.5 เหรียญ/บาร์เรล หลังปีก่อนส่วนต่างผลิตภัณฑ์ปรับขึ้นสูงกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม เราคาดว่า ราคาน้ำมันสำเร็จรูปยังได้แรงหนุนจากสต๊อกน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ และการยกเลิกนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียของยุโรป
จะส่งผลให้ อุปทานน้ำมันสำเร็จรูปหายไปบางส่วน และกำลังการผลิตสำรองของ OPEC ที่อยู่ในระดับต่ำ แต่ราคาน้ำมันสำเร็จรูปอาจถูกกดดันจากกำลังผลิตน้ำมันสำเร็จรูปที่จะเข้ามามากขึ้นในปี 66 จากความล่าช้าในการก่อสร้างโรงกลั่นปี 64 – 65 ด้านธุรกิจปิโตรเคมี คาดว่าส่วนต่างราคายังอยู่ในระดับต่ำ จากอุปทานใหม่ที่เข้ามามากขึ้น แต่การกลับมาเปิดประเทศของจีนอาจช่วยให้ส่วนต่างราคาปรับตัวขึ้น
ส่วนผู้บริหาร TOP ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปีนี้บริษัทฯ จะเดินเครื่องกลั่นเต็มกำลัง เพื่อรองรับดีมานด์น้ำมันที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้น 4 - 7% จากปีก่อน ตามการเปิดประเทศเพิ่มขึ้น พร้อมเพิ่มปริมาณกลั่นน้ำมัน JET ขณะที่ค่าการกลั่นยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และไม่มีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นฯ อีกด้วย
*** กูรูชี้ Valuation แจ่ม – ปันผลปี 65 - 66 ยังสูง
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า มูลค่า (Valuation) ณ ปัจจุบันของ TOP ยังมีความน่าสนใจ และไม่แพง สะท้อนจากการเทรด PBV เพียง 0.7 เท่า (Discount -2.0 SD) เทียบกับคู่แข่งอย่าง SPRC และ BCP (Discount -1.0 SD) อีกทั้งงบการเงินไตรมาส 4/65 ยังมีแนวโน้มฟื้นตัว และคาดเงินปันผลงวดครึ่งหลังของปี 65 จะอยู่ในระดับสูง
สอดคล้องกับ บล.เอเซีย พลัส ที่มองว่า การเข้าลงทุนในหุ้น BCP ยังมีความน่าสนใจ จากผลการดำเนินงานไตรมาส 4/65 ฟื้นตัว อีกทั้งหุ้นยังให้เงินปันผล คิดเป็นอัตราผลตอบแทน (Dividend Yield) ในระดับสูงราว 5 – 6% โดยคาดปี 65 จะอยู่ที่ระดับ 6.6% และปี 66 จะอยู่ในระดับ 5.2%
*** ส่วนใหญ่ยังคงแนะนำ"ซื้อ"
แม้กำไรสุทธิปี 66 ของ TOP มีแนวโน้มหดตัวจากปีก่อนราว 68% แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงแนะนำ"ซื้อ" เนื่องจากมองว่า กำไรสุทธิปี 66 ที่ชะลอตัวลงมายังอยู่ในระดับสูงจากเกณฑ์ปกติ โดยกำไรปี 65 ของ TOP สูงกว่าระดับปกติ จากปัจจัยที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในการดำเนินธุรกิจ อีกทั้ง มูลค่าหุ้นยังค่อนข้างถูก
บล. | คำแนะนำ | ราคาเหมาะสม (บ.) |
ฟิลลิป | ซื้อ | 70.00 |
ธนชาต | ซื้อ | 70.00 |
หยวนต้า | ซื้อ | 66.00 |
เอเชีย พลัส | ซื้อ | 63.00 |
ยูโอบีฯ | ถือ | 51.00 |
ราคาเฉลี่ย | 64.00 |
แม้เช้านี้ราคาหุ้น TOP จะปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น ตอบรับปัจจัยหนุนความต้องการน้ำมันในจีนฟื้นตัว แต่ราคาหุ้นที่ซื้อขาย ณ ปัจจุบัน ยังเหลืออัพไซด์ให้นักลงทุนได้ลุ้นอีกราว 13% เมื่อเทียบกับราคาเหมาะสมเฉลี่ยของโบรกเกอร์ ขณะที่ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ยังมองหุ้น TOP น่าลงทุนในระยะยาว เพราะกำไรยังแกร่ง แถมปันผลสูง !