efinancethai

หุ้นเด่นวันนี้

26 บจ.เทงบรวม 2.1 หมื่นลบ. ลุยซื้อหุ้นคืน หลัง SET ดิ่งแรง

26 บจ.เทงบรวม 2.1 หมื่นลบ. ลุยซื้อหุ้นคืน หลัง SET ดิ่งแรง

หุ้นไทยปีนี้ ดิ่งแรงกว่า 119 จุด หลังหลายปัจจัยลบกดดัน ทั้งความเชื่อมั่นตลาดหุ้นลด - ดอกเบี้ยสูงนานกว่าคาด - สงครามปะทุ - การเมืองในประเทศไม่แน่นอน สแกนหุ้นทั้งตลาดพบ 26 บจ. เปิดโครงการรับซื้อหุ้นคืนในปี 2567 ใช้งบรวมกันกว่า 2.1 หมื่นล้านบาท แต่ราคาหุ้นยังดิ่งเฉลี่ย 8% ฟากโบรกฯมอง บจ.ยังมีแนวโน้มซื้อหุ้นคืนอีกเพียบในปีนี้ หาก SET ไม่ฟื้น แนะกลยุทธ์เก็งกำไรก่อนประกาศ - เลือกบริษัทซื้อหุ้นคืนสม่ำเสมอ ช่วยดันราคาพุ่งได้

 

*** SET ปีนี้มีหลายปัจจัยลบกดดัน ฉุดดัชนีดิ่งแรง 119 จุด

ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ตั้งแต่ต้นปี (YTD) ปรับตัวลงรุนแรงถึง 119.26 จุด หรือ -8.42% เนื่องจากปีนี้มีหลายปัจจัยลบกดดัน อาทิ ความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนต่อตลาดหุ้นไทย, ภาวะดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับสูงนานกว่าคาด, การทำสงครามในหลายประเทศปะทุ รวมทั้งความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ เป็นต้น

 

*** พบ 26 บจ. เทงบรวม 2.1 หมื่นลบ. ลุยซื้อหุ้นคืน

ขณะที่ "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" สำรวจข้อมูลบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหุ้นไทยที่มีการประกาศรับซื้อหุ้นคืนโดยมีโครงการอยู่ในปี 2567 จาก SETSMART พบว่ามี 26 บริษัท ที่ประกาศซื้อหุ้นคืน ซึ่งทั้งหมดตั้งงบรับซื้อหุ้นคืนรวมกัน 21,568 ล้านบาท ประกอบด้วย 
 

26 บจ.เทงบรวม 2.1 หมื่นลบ. ลุยซื้อหุ้นคืน หลัง SET ดิ่งแรง

ชื่อย่อหุ้น

จำนวนหุ้นซื้อคืน (ลห.)

วงเงิน (ลบ.)

ซื้อคืนแล้ว (ลห.)

ช่วงราคา

มูลค่า (ลบ.)

ระยะเวลาโครงการ

BEM

450

4,000

149

7.8 - 8.4

1,224.08

5 มี.ค. - 4 ก.ย.67

TU

200

3,600

166.55

14.6 - 15.7

2,470.80

20 ก.พ. - 30 มิ.ย.67

EA

58

3,000

16.65

38.25 - 45.5

733.97

17 พ.ย.66 - 17 ก.พ.67

JAS*

300.74

1,504

ยังไม่ซื้อ

n/a

n/a

25 มิ.ย. - 23 ก.ค.67

TOA

60

1,500

30.45

21.4 - 26

718.47

20 พ.ย.66 - 17 พ.ค.67

PRM

175

1,400

172.58

7.25 - 8

1,192.40

1 ม.ค. - 27 มิ.ย.67

VIBHA

540

1,200

51.23

2.1 - 2.28

106.42

4 มี.ค. - 4 ก.ย.67

GUNKUL

380

1,120

280.92

2.48 - 2.84

771.54

16 พ.ย.66 - 15 พ.ค.67

SSP

90

810

90.00

7.15 - 8

716.07

17 พ.ย.66 - 16 พ.ค.67

AH

28

650

1.53

20.30 - 22.20

32.27

20 พ.ค. - 19 พ.ย.67

SABUY

95

618

95.00

4.46  - 5.05

487.28

22 ธ.ค.66 - 21 มี.ค.67

SITHAI

270

340

2.56

1.25 - 1.32

3.3

20 พ.ค. - 19 พ.ย.67

TKS

30

300

10.21

7.85 - 8.95

81.58

29 ก.พ. - 28 ส.ค.67

NEX

28.71

290

26.27

7.5 - 9.9

252.08

17 พ.ย.66 - 17 พ.ค.67

SMT

55

250

9.51

2.7  - 3.20

32.08

7 พ.ย.66 - 3 พ.ค.67

MODERN

75

220

3.67

2.22 - 2.24

8.17

20 พ.ค. - 19 พ.ย.67

LEE

80

210

6.94

2.42 - 2.54

16.94

18 มี.ค. - 17 ก.ย.67

SONIC

80

150

4.53

1.66 - 1.7

7.64

16 พ.ย.66 - 15 มี.ค.67

A5

33

100

ยังไม่ซื้อ

n/a

n/a

17 มิ.ย. - 16 ธ.ค.67

WARRIX

11

70

10.92

4.66 - 6.35

66.7

21 พ.ย.66 - 20 พ.ค.67

UKEM

80

66

78.15

0.78 - 0.9

65.99

6 ธ.ค.66 - 5 มิ.ย.67

SFLEX

19

50

13.36

3.06 - 3.56

42.94

29 มี.ค. - 27 ก.ย.67

BJCHI

30

40

0.65

1.13 - 1.15

0.74

29 เม.ย. - 28 ต.ค.67

ZEN

3

30

1.74

6.85 - 7.25

13.57

24 ม.ค. - 23 ก.ค.67

SCM

8.8

30

8.48

3.48 - 4.06

29.98

15 พ.ย.66 - 14 พ.ค.67

FVC

22

20

22.00

0.79 - 0.83

17.82

20 พ.ย.66 - 20 พ.ค.67

ที่มา : SETSMART ณ 17 มิ.ย.67

JAS ซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นเป็นการทั่วไป (General Offer : GO) ราคาหุ้นละ 5 บาท ไม่เกิน 300.75 ล้านหุ้น


26 บริษัทดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นหุ้นนอกดัชนี SET100 จำนวน 22 บริษัท ส่วนหุ้นในดัชนี SET100 ติดโผเข้ามา 4 บริษัท โดยกลุ่มธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภคติดโผมากที่สุด จำนวน 3 บริษัท รองลงมา คือ กลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, บรรจุภัณฑ์, บริการ, พาณิชย์ และอาหารและเครื่องดื่ม ที่ติดโผจำนวน 2 บริษัท เท่ากัน

 

*** BEM ทุ่มงบซื้อหุ้นคืนมากสุดถึง 4 พันลบ.

บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) เป็นบริษัทที่ตั้งงบซื้อหุ้นคืนมากที่สุด 4,000 ล้านบาท มีเป้าหมายซื้อหุ้นคืนจำนวน 450 ล้านหุ้น โดยเริ่มโครงการตั้งแต่ 5 มี.ค. - 4 ก.ย.นี้ ขณะที่ข้อมูลล่าสุด BEM ซื้อหุ้นคืนแล้ว 149 ล้านหุ้น ที่ช่วงราคา 7.8 - 8.4 บาท/หุ้น คิดเป็นมูลค่า 1,224.08 ล้านบาท 


รองลงมา คือ บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ที่ตั้งงบซื้อหุ้นคืน 3,600 ล้านบาท มีเป้าหมายซื้อหุ้นคืนจำนวน 200 ล้านหุ้น โดยเริ่มโครงการตั้งแต่ 20 ก.พ. - 30 มิ.ย.นี้ ขณะที่ข้อมูลล่าสุด TU ซื้อหุ้นคืนแล้ว 166.55 ล้านหุ้น ที่ช่วงราคา 14.6 - 15.7 บาท/หุ้น คิดเป็นมูลค่า 2,470.80 ล้านบาท 

 

*** มีอีก 6 บจ. ตั้งงบซื้อหุ้นคืนมากกว่า 1 พันลบ.

นอกจากนี้ ยังมีอีก 6 บริษัท ที่ตั้งงบซื้อหุ้นคืนมากกว่า 1,000 ล้านบาท ประกอบด้วย บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ที่ตั้งงบซื้อหุ้นคืน 3,000 ล้านบาท มีเป้าหมายซื้อหุ้นคืนจำนวน 58 ล้านหุ้น โดยเริ่มโครงการตั้งแต่ 17 พ.ย.66 - 17 ก.พ.67 ซึ่งจบโครงการซื้อหุ้นคืนแล้ว ปรากฎว่า EA ซื้อหุ้นคืนได้เพียง 16.65 ล้านหุ้นเท่านั้น ที่ช่วงราคา 38.25 - 45.5 บาท/หุ้น คิดเป็นมูลค่า 733.97 ล้านบาท


ด้าน บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) ที่ตั้งงบซื้อหุ้นคืน 1,504 ล้านบาท มีเป้าหมายซื้อหุ้นคืนจำนวน 300.74 ล้านหุ้น โดยเริ่มโครงการตั้งแต่ 25 มิ.ย. - 23 ก.ค.นี้ ขณะที่ข้อมูลล่าสุด JAS ยังไม่ได้มีการรับซื้อหุ้นคืนแต่อย่างใด เนื่องจากยังไม่ถึงช่วงเวลาโครงการ


สำหรับโครงการซื้อหุ้นคืนของ JAS จะเป็นการซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นทั่วไปเป็นการทั่วไป (General offer : GO) ในราคาเดียวที่ 5 บาท/หุ้น โดยจะไม่รับซื้อเกิน 300.74 ล้านหุ้นตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ในเบื้องต้น


ฟาก บมจ.ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) หรือ TOA ตั้งงบซื้อหุ้นคืน 1,500 ล้านบาท มีเป้าหมายซื้อหุ้นคืนจำนวน 60 ล้านหุ้น โดยเริ่มโครงการตั้งแต่ 20 พ.ย.66 - 17 พ.ค.67 ซึ่งจบโครงการซื้อหุ้นคืนแล้ว ปรากฎว่า TOA ซื้อหุ้นคืน 30.45 ล้านหุ้น ที่ช่วงราคา 21.4 - 26 บาท/หุ้น คิดเป็นมูลค่า 718.47 ล้านบาท


ขณะที่ บมจ.พริมา มารีน (PRM) ตั้งงบซื้อหุ้นคืน 1,400 ล้านบาท มีเป้าหมายซื้อหุ้นคืนจำนวน 175 ล้านหุ้น โดยเริ่มโครงการตั้งแต่ 1 ม.ค. - 27 มิ.ย.นี้ ขณะที่ข้อมูลล่าสุด PRM ซื้อหุ้นคืนแล้ว 172.58 ล้านหุ้น ที่ช่วงราคา 7.25 - 8 บาท/หุ้น คิดเป็นมูลค่า 1,192.40 ล้านบาท 


บมจ.โรงพยาบาลวิภาวดี (VIBHA) ตั้งงบซื้อหุ้นคืน 1,200 ล้านบาท มีเป้าหมายซื้อหุ้นคืนจำนวน 540 ล้านหุ้น โดยเริ่มโครงการตั้งแต่ 4 มี.ค. - 4 ก.ย.นี้ ขณะที่ข้อมูลล่าสุด VIBHA ซื้อหุ้นคืนแล้ว 51.23 ล้านหุ้น ที่ช่วงราคา 2.1 - 2.28 บาท/หุ้น คิดเป็นมูลค่า 106.42 ล้านบาท 


ส่วน บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) ตั้งงบซื้อหุ้นคืน 1,120 ล้านบาท เป้าหมายซื้อหุ้นคืนจำนวน 380 ล้านหุ้น โดยเริ่มโครงการตั้งแต่ 16 พ.ย.66 - 15 พ.ค.67 ซึ่งจบโครงการซื้อหุ้นคืนแล้ว ปรากฎว่า GUNKUL ซื้อหุ้นคืน 280.92 ล้านหุ้น ที่ช่วงราคา 2.48 - 2.84 บาท/หุ้น คิดเป็นมูลค่า 771.54 ล้านบาท


*** ส่องราคาหุ้น หลังประกาศซื้อหุ้นคืนวูบฉลี่ย 8%

ขณะเดียวกัน เมื่อสำรวจราคาหุ้นของทั้ง 26 บริษัทดังกล่าว นับตั้งแต่วันแรกที่มีการประกาศข่าวเปิดโครงการรับซื้อหุ้นคืนจนถึงล่าสุด (ราคาปิด 17 มิ.ย.67) พบราคาหุ้นในช่วงดังกล่าวปรับตัวลงเฉลี่ย 8.58% ประกอบด้วย
 

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นนับตั้งแต่มีข่าว ลบเฉลี่ย 8%

ชื่อย่อหุ้น

ราคาหุ้นก่อนวันประกาศ (บ.)

ราคาปิด 17 มิ.ย.67 (บ.)

%chg จากวันที่มีข่าว

SABUY

6.4

0.95

-85.16

NEX

10.1

1.97

-80.50

EA

44.25

19.8

-55.25

SMT

4.68

2.7

-42.31

ZEN

8.85

6.9

-22.03

WARRIX

6.55

5.2

-20.61

A5

3.42

3.1

-9.36

JAS

3.4

3.12

-8.24

SCM

3.7

3.4

-8.11

TOA

22.1

20.4

-7.69

SITHAI

1.38

1.32

-4.35

MODERN

2.26

2.2

-2.65

BEM

8.1

7.95

-1.85

UKEM

0.79

0.78

-1.27

SONIC

1.62

1.6

-1.23

AH

20.4

20.2

-0.98

FVC

0.73

0.73

ไม่เปลี่ยนแปลง

GUNKUL

2.46

2.56

4.07

LEE

2.34

2.44

4.27

TU

14.6

15.3

4.79

SSP

6.15

6.7

8.94

TKS

6.8

7.7

13.24

SFLEX

3.14

3.62

15.29

BJCHI

1.12

1.32

17.86

VIBHA

1.76

2.08

18.18

PRM

5.35

8.05

50.47

 


*** SABUY ราคาหุ้นดิ่งแรงสุดถึง 85%

บมจ.สบาย เทคโนโลยี (SABUY) เป็นบริษัทที่ราคาหุ้นนับตั้งแต่ประกาศซื้อหุ้นคืน เทียบกับราคาหุ้นล่าสุด ปรับตัวลงมากที่สุดถึง 85% เนื่องด้วย SABUY กำลังเผชิญกับสถานการณ์ขาดสภาพคล่อง อีกทั้งยังมีการประกาศขอเพิ่มทุนจำนวน 2,510 ล้านหุ้นด้วย ทำให้กระแสข่าวดังกล่าวกดดันราคาหุ้น แม้จะมีการเปิดโครงการรับซื้อหุ้นคืนก็ตาม


รองลงมา คือ บมจ.เน็กซ์ พอยท์ (NEX) ที่ราคาหุ้นปรับตัวลง 80.50% เนื่องจากประสบปัญหาความไม่เชื่อมั่นต่อราคาหุ้นคล้าย ๆ กับ SABUY หลังจากที่บริษัทประกาศเพิ่มทุนอีก 8,837 ล้านหุ้น ซึ่งคาดว่าเป็นปัจจัยหลักกดดันราคาหุ้นให้ปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้จะมีโครงการรับซื้อหุ้นคืนช่วงพยุงความเชื่อมั่นนักลงทุนก็ตาม


นอกจากนี้ ยังมีอีก 4 บริษัท ที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมากกว่า 20% ประกอบด้วย บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ที่ราคาหุ้นปรับตัวลง 55.25%, บมจ.สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) หรือ SMT ราคาหุ้นปรับตัวลง 42.31%, บมจ.เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป (ZEN) ราคาหุ้นปรับตัวลง 22.03% และ บมจ.วอริกซ์ สปอร์ต (WARRIX) ที่ราคาหุ้นปรับตัวลง 20.61%

 

*** ฟาก PRM ราคาหุ้นพุ่งแรงสุด 50%

อย่างไรก็ตาม หากอ้างอิงราคาปิด ณ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา เทียบกับราคาหุ้นวันแรกนับตั้งแต่บริษัทประกาศโครงการรับซื้อหุ้นคืน พบว่ามี 9 บจ. ที่ราคาหุ้นในช่วงดังกล่าวปรับตัวขึ้น นำโดย บมจ.พริมา มารีน (PRM) ที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูงสุดถึง 50.47% หลังรับซื้อหุ้นคืนได้ไกล้เคียงเป้าหมายที่ 172.58 ล้านหุ้น (ตั้งเป้าไว้ 175 ล้านหุ้น) โดยโครงการรับซื้อหุ้นคืนของ PRM จะสิ้นสุดลงใน 27 มิ.ย.นี้


ขณะเดียวกัน มีอีก 4 บริษัท ที่ราคาหุ้นล่าสุดเทียบกับราคาหุ้นวันแรก ณ ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนปรับตัวขึ้นมากกว่า 10% ประกอบด้วย บมจ.โรงพยาบาลวิภาวดี (VIBHA) ที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 18.18% หลังรับซื้อหุ้นคืนแล้ว 51.23 ล้านหุ้น จากเป้าหมาย 540 ล้านหุ้น โดยโครงการของ VIBHA จะสิ้นสุดลง 4 ก.ย.นี้


ด้าน บมจ.บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี (BJCHI) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 17.86% แม้จะเพิ่งรับซื้อหุ้นคืนไปได้เพียง 6.5 แสนหุ้น จากเป้าหมาย 30 ล้านหุ้น ขณะที่โครงการของ BJCHI จะสิ้นสุดลง 28 ต.ค.นี้, บมจ.สตาร์เฟล็กซ์  (SFLEX) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 15.29% หลังรับซื้อหุ้นคืนแล้ว 13.36 ล้านหุ้น จากเป้าหมาย 19 ล้านหุ้น ซึ่งโครงการของ SFLEX จะสิ้นสุดลง 27 ก.ย.นี้


ปิดท้ายด้วย บมจ.ที.เค.เอส. เทคโนโลยี (TKS) ที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 13.24% หลังรับซื้อหุ้นคืนแล้ว 10.21 ล้านหุ้น จากเป้าหมาย 30 ล้านหุ้น โดยโครงการรับซื้อหุ้นคืนของ TKS จะจบลง 28 ส.ค.นี้

 

*** กูรูคาดเทรนด์ซื้อหุ้นคืนปีนี้ยังมีอีกเพียบ 

"ณรงค์เดช จันทรไพศาล" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไอร่า ประเมินว่า หากพิจารณาจากสถานการณ์ของตลาดหุ้นไทย ที่ในระยะถัดไปยังดูไม่สดใสนัก ก็มีความเป็นไปได้ที่บริษัทจดทะเบียน (บจ.) จะหันกลับมาซื้อหุ้นคืนกันมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปี เพราะโดยปกติการซื้อหุ้นคืนมักนิยมทำในช่วงที่ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาลงอยู่แล้ว


สอดคล้องกับ "ณัฐพล คำถาเครือ" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เทรนด์การซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียน เริ่มมีจำนวนมากขึ้น ตั้งแต่ช่วงปลายปี 66 ซึ่งเป็นช่วงที่ SET Index ให้ผลตอบแทนที่ไม่น่าพอใจเท่าไรนัก ส่งผลให้หุ้นหลายบริษัทก็ปรับตัวลงตามด้วยเช่นกัน


ขณะที่ ในระยะถัดไปหากภาวะตลาดหุ้นยังคงทรงตัวเหมือนกับสถานการณ์ปัจจุบัน ก็มีความเป็นไปได้ที่บริษัทจดทะเบียนจะประกาศซื้อหุ้นคืนกันมากขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันราคาหุ้นไม่ให้ปรับตัวลงต่ำกว่า ณ ระดับราคาปัจจุบัน อย่างมีนัยสำคัญ


อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณากิจกรรมเศรษฐกิจควบคู่ด้วย เพราะในระยะกลาง - ยาว ภาพเศรษฐกิจไทยถูกคาดหวังว่า จะอยู่ในแนวโน้มของการฟื้นตัว หากกิจกรรมเศรษฐกิจดีขึ้น บริษัทจดทะเบียนก็อาจจะไม่ได้มีความสนใจจะซื้อหุ้นคืนเหมือนช่วงที่ผ่านมาได้เหมือนกัน

 

*** อยากลงทุนหุ้นกลุ่มนี้ต้องทำอย่างไร ?

"ณรงค์เดช จันทรไพศาล" กลับมากล่าวต่อว่า สำหรับนักลงทุนที่สนใจเข้าลงทุนหุ้นกลุ่มดังกล่าว แนะนำว่า ควรเข้าไปซื้อหุ้นก่อนที่บริษัทจะประกาศข่าวรับซื้อหุ้นคืน โดยมีหลักในการวิเคราะห์ว่าหุ้นใดจะซื้อหุ้นคืน คือ ภาวะตลาดหุ้นเริ่มดูไม่ดีเท่าไร ประกอบกับ บริษัทที่สนใจมีกระแสเงินสดพอสมควร และไม่มีแผนที่จะลงทุนในช่วงนั้น จึงเป็นบริษัทที่มีความเป็นไปได้ว่าจะประกาศรับซื้อหุ้นคืนสูง


"หากนักลงทุน เข้าซื้อหุ้นหลังจากที่ประกาศโครงการดังกล่าวออกไปแล้ว มองว่า ผลตอบแทนที่จะได้รับไม่ค่อยน่าสนใจเท่าใดนัก เนื่องจากตามธรรมชาติของบริษัทที่รับซื้อหุ้นคืน ราคาหุ้นส่วนใหญ่มักจะปรับตัวขึ้นในช่วงเริ่มต้นที่บริษัทประกาศ และหลังจากนั้นราคาหุ้นก็จะทรงตัว แล้วจึงต้องดูว่าบริษัทดังกล่าว มีความสามารถเติบโตต่อแบบ Organic Growth หรือไม่ จึงจะส่งผ่านไปถึงราคาหุ้นว่า จะไปต่อ หรือ หยุดอยู่แค่นั้น" ณรงค์เดช กล่าว


ด้าน "ณัฐพล คำถาเครือ" เสริมว่า นักลงทุนต้องกลับไปทำการบ้านก่อนว่า หุ้นที่นักลงทุนสนใจเคยประกาศรับซื้อหุ้นคืนมาก่อนหรือไม่ ? ถ้าในอดีตเคยมีโครงการออกมาแล้ว ก็สามารถไปดูสถิติย้อนหลังว่า บริษัทดังกล่าวซื้อหุ้นตามที่ประกาศจริงหรือไม่ ? หากพบว่า ไม่ได้ทำตามสัญญา ก็ควรหลีกเลี่ยงบริษัทประเภทนั้น


แต่ถ้าพบว่า บริษัทที่นักลงทุนสนใจเข้าซื้อหุ้น มีการซื้อหุ้นคืนตามสัญญาจริง สิ่งที่ต้องทำการบ้านต่อ คือ พฤติกรรมการซื้อหุ้นของบริษัทเป็นเช่นไร ถ้าพบว่าเป็นบริษัทที่ไม่ได้ซื้อหุ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ยังไม่น่าสนใจลงทุน เพราะพฤติกรรมแบบนี้ไม่สามารถทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ


ทั้งนี้ บริษัทควรมีพฤติกรรมซื้อหุ้นคืนอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องในช่วงของโครงการ จึงจะสามารถทำให้ราคาหุ้นของบริษัทกลับมาปรับตัวขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ
 







ข่าวหุ้นอื่นๆที่น่าสนใจ

RECOMMENDED NEWS

ข่าวหุ้นยอดนิยม

Refresh




LATEST NEWS

ข่าวหุ้นล่าสุด

Refresh

ดูข่าวทั้งหมด