WHA ดิ่งสวนเข้า SET50 …จังหวะนี้ยังน่าซื้อไหม ?

เช้านี้หุ้น WHA ดิ่งต่ำสุด 1.28% สวนปัจจัยบวกเข้า SET50 รอบ ก.ค.นี้ คาดมีแรงขายลดความเสี่ยงหลังหุ้นขึ้นแรงก่อนหน้านี้แล้ว ด้านโบรกฯมองงบ Q2/66 ยังแกร่ง ตามยอดโอนที่ดิน - โรงไฟฟ้า SPP แจ่ม มองกล่มนิคมฯยังเด่นอีก 2 – 3 ปี จากแนวโน้มต่างชาติแห่ย้ายฐานผลิต แต่ราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน เหลืออัพไซด์ค่อนข้างแคบ !

*** เช้านี้ดิ่งต่ำสุด 1.28% สวนทางเข้า SET50

ราคาหุ้น บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) ช่วงเช้าวันนี้ (19 มิ.ย.66) ร่วงทำจุดต่ำสุดที่ราคา 4.6 บาท ลดลง 1.28% จากวันทำการก่อนหน้า ก่อนปิดซื้อขายภาคเช้าด้วยราคา 4.62 บาท ลดลง 0.04 บาท หรือ -0.86% มีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น 150.96% จาก 5 วันทำการก่อนหน้า 

ทั้งนี้ ราคาหุ้น WHA เช้านี้ ที่ปรับตัวลงต่ำสุด 0.85% ยังสวนทางปัจจัยบวกจากกรณีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) นำหุ้น WHA เข้าคำนวณในดัชนี SET50 รอบครึ่งปีหลัง (H2/66) ที่จะมีผล 1 ก.ค.นี้อีกด้วย 

*** แต่กูรูชี้งบ Q2/66 ยังแกร่ง แม้โลว์ซีซั่น

บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินว่า กำไรสุทธิไตรมาส 2/66 ของ WHA มีแนวโน้มเติบโตขึ้นจากปีก่อน (YoY) ได้ แม้จะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจ มีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของภาคการผลิต และเม็ดเงินการลงทุนที่ยังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง 

สอดคล้องกับ บล.บัวหลวง ที่ประเมินว่า กำไรหลักไตรมาส 2/66 ของ WHA มีแนวโน้มเติบโตขึ้นทั้งเทียบปีก่อน และไตรมาสก่อน มีปัจจัยหนุนจากยอดโอนที่ดินที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และกำไรที่สูงขึ้นของโรงไฟฟ้า SPP ของบริษัทร่วมและบริษัทย่อย ที่จะเข้ามาช่วยหนุนอีกช่องทาง 

*** โบรกฯมองนิคมฯ มีสัญญาณฟื้นตัวแรง

บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า มีมุมมองเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมนิคมอุตสาหกรรมมากขึ้น หลัง WHA ประกาศเพิ่มงบลงทุนสำหรับการซื้อที่ดินในปี 66 เป็น 6 พันล้านบาท (เดิม 3 พันล้านบาท) ซึ่งปัจจัยดังกล่าว สอดคล้องกับการเร่งพัฒนานิคมฯใหม่เร็วขึ้นของ WHA ทั้งในประเทศไทย และเวียดนาม

เนื่องจาก บริษัทต้องการรองรับการลงทุนที่สูงขึ้นของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV Car) หรือ การย้ายฐานผลิต supply chain Appl จากประเทศจีน เข้าสู่ประเทศเวียดนาม หลังจีนเริ่มมีข้อพิพาทการค้ากับสหรัฐฯขึ้นอีกครั้ง 

ขณะที่ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในประเทศไทยที่อาจเกิดขึ้น หากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่นำโดยพรรคก้าวไกล อาจไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมนิคมฯมากนัก เนื่องจากนักลงทุนที่เข้ามาในประเทศไทยส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นกลุ่ม labor incentive

ด้าน บล.กรุงศรี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า มีผู้ผลิต EV Car อย่างน้อย 7 ราย (ไม่รวม BYD และ Horizon Plus ที่ซื้อที่ดินแล้ว) มีแผนที่จะสร้างโรงงานในประเทศไทย โดยประเมินว่า การลงทุนจะเริ่มคึกคักมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 66 

*** คาดกำไรปี 66 อาจมีอัพไซด์ให้เห็น

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินว่า กำไรปกติปี 66 ของ WHA จะอยู่ที่ 3.96 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 7.6% จากปีก่อน โดยปัจจุบัน WHA กำลังอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าอีก 2 – 3 ราย ขนาดมากกว่า 300 ไร่ (รวมทั้งในประเทศไทย และเวียดนาม) ซึ่งกำไรปกติดังกล่าวที่เราคาดไว้ อาจเห็นการปรับขึ้นได้อีก หาก WHA เจรจากับลูกค้าได้สำเร็จ

ด้าน บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ประเมินกำไรปกปี 66 – 67 ของ WHA ไว้ที่ 4 พันล้านบาท และ 4.8 พันล้านบาทตามลำดับ เติบโตขึ้น 9% จากปีก่อน และ 20% จากปีก่อน ตามลำดับ หนุนโดยยอดพรีเซลล์ และยอดขายที่ดินที่เพิ่มขึ้น จากการย้ายฐานผลิตจากจีน และผลบวกจากมาตรการสนับสนุนการลงทุนต่าง ๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า 

*** กูรูมองปัจจัยพื้นฐาน WHA ยังแกร่ง

บล.บัวหลวง มองว่า หุ้น WHA ณ ปัจจุบัน ยังมีความน่าสนใจเข้าลงทุน จากแนวโน้มยอดจอง และยอดโอนที่ดินที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง และจิตวิทยาเชิงบวกจากแนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของไทย ซึ่งมีแนวโน้มจะกระจุกตัวอยู่ในนิคมฯของ WHA จึงเชื่อว่า จะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นได้ จึงยังคงแนะนำ"ซื้อ" 

ด้าน บล.ดาโอ (ประเทศไทย) เสริมว่า จากแนวโน้มยอดจองที่ดินในนิคมฯจะเพิ่มขึ้นในระดับสูงอีกราว 2 – 3 ปีข้างหน้า และทำสถิติสูงสุดใหม่ในปี 67 ประกอบกับ WHA มีแผนที่จะเปิดนิคมฯใหม่ในช่วง 1 – 2 ปีนี้ จึงมองว่าปัจจัยดังกล่าว จะช่วยขับเคลื่อนผลการดำเนินงานของ WHA ให้เร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงยังคงแนะนำ"ซื้อ"

*** ส่วนใหญ่ยังคงแนะนำ"ซื้อ"

จากการสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงแนะนำ"ซื้อ" เนื่องจากมีมุมมองเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมนิคมฯในช่วง 2-  3 ปีถัดจากนี้มากขึ้น เนื่องจากมองว่า ทั้งไทย และเวียดนาม ต่างมีปัจจัยขับเคลื่อนเฉพาะตัว ทั้งมาตรการดึงเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ และการย้ายฐานผลิตออกจากประเทศจีน โดยมีทั้ง 2 ประเทศดังกล่าวเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ 

ราคาหุ้น WHA ที่ปรับตัวลงเช้าวันนี้ สวนปัจจัยบวกเข้าดัชนี SET50 ส่วนหนึ่งคงเกิดจากแรงขายลดความเสี่ยง เพราะก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ต้นเดือน (MTD) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นราว 5% รับความคาดหวังเข้าดัชนี SET50 จนทำให้ราคาหุ้นที่ซื้อขาย ณ ปัจจุบัน เหลืออัพไซด์ให้นักลงทุนได้ลุ้นเพียง 6% เท่านั้น เมื่อเทียบกับราคาเหมาะสมเฉลี่ยของนักวิเคราะห์ ....