ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สินทรัพย์บางประเภทเริ่มมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก เห็นได้ชัดว่า “ความหลากหลาย” จึงกลายมาเป็นกุญแจสำคัญ ทุกวันนี้ตลาดการลงทุนเต็มไปด้วยสินทรัพย์ทางเลือก นักลงทุนมือโปรรวมถึงมือใหม่ต่างกำลังมองหาสินทรัพย์เพิ่มเติมเพื่อกระจายความเสี่ยงและขยายพอร์ตการลงทุน อีกทั้งในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาการเกิดขึ้นของสกุลเงินดิจิทัลได้ดึงดูดนักลงทุนให้เทการลงทุนไปยังคริปโทและโทเคนหนักขึ้น โดยมีเหรียญดิจิทัลพี่ใหญ่อย่างบิตคอยน์เป็นตัวขับเคลื่อน
“ทองแท้” ไม่ยอมแพ้ “ทองดิจิทัล”
ท่ามกลางกระแสของ “บิตคอยน์” ซึ่งมีฉายาว่า “ทองคำดิจิทัล” ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับโลกการเงินมาหลายปี ด้วยจุดขายของการเป็นทรัพย์สินที่ไม่ได้ถูกควบคุมและทำงานบนระบบการเงินแบบกระจายศูนย์ ทำให้ผู้ใช้ทำธุรกรรมได้สะดวกและรวดเร็วกว่าระบบธนาคารดั้งเดิม อีกทั้งยังมีข้อจำกัดในเรื่องของปริมาณที่ 21 ล้านเหรียญ จึงทำให้ทองคำดิจิทัลอย่าง “บิตคอยน์” ให้เป็นทางเลือกการลงทุนที่มาแรงสำหรับนักลงทุนหลายคน ซึ่งไม่ว่าใครก็สามารถเป็นเจ้าของบิตคอยน์ได้ผ่านการทำเหมืองขุดและการแลกเปลี่ยนนั่นเอง
Source: 8marketcap.com, สินทรัพย์และบริษัทที่มีค่าที่สุดในโลกตามมูลค่าตลาด, 24 พ.ค. 66
ส่วน “ทองคำ” ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นทรัพย์สินที่เหมาะแก่การแลกเปลี่ยนและเก็บรักษามาเป็นเวลาหลายศตวรรษ และขึ้นแท่น Marketcap อันดับ 1 ของโลกมาตลอด ทำให้ทองคำเป็นทางเลือกการลงทุนที่มีความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีความเชื่อมั่นต่อทองคำสูงมาก ประชาชนคนไทยมีวัฒนธรรมและแนวคิดที่ให้ความคุ้มค่าและลงทุนในทองคำมาเนิ่นนาน มีตลาดทองคำที่เจริญรุ่งเรือง มีสถานที่ให้บริการขายและซื้อทองคำหลากหลายเช่นร้านเครื่องประดับ ผู้จัดจำหน่ายทองคำ และบัญชีการลงทุนทองคำที่ธนาคารก็มีให้บริการ นักลงทุนสามารถศึกษาทางเลือกในการลงทุนทองคำได้ไม่ว่าจะเป็น การซื้อทองคำเป็นแท่งและทองรูปพรรณ การลงทุนในกองทุนรวมทองคำ หรือการเปิดบัญชีออมทองคำ เป็นต้น
ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาจนถึงไตรมาสแรกของปี 2566 นักลงทุนชาวไทยหันมาสะสมทองมากขึ้น มูลค่าการออมทองคำของคนไทยบนแพลตฟอร์มออนไลน์เพิ่มขึ้นเกือบ 70% เมื่อเทียบจากปีก่อน หลังจากที่มีช่องทางในการซื้อขายหรือเทรดทองแบบออนไลน์มากขึ้น
บิตคอยน์ vs ทองคำ ความเหมือนที่แตกต่าง
เรามาสำรวจกันว่า ทั้งบิตคอยน์และทองคำมีความเหมือนที่แตกต่างในด้านใดบ้าง
1.ปริมาณ
เมื่อสิ่งที่รัฐบาลในบางประเทศใช้การแก้ไขปัญหาวิกฤติการทางการเงินคือการพิมพ์เงินเข้ามาในระบบให้มากขึ้น เงินถูกควบคุมโดยรัฐบาลเพื่อเพิ่มความหมุนเวียนทำให้เงินมีปริมาณมากขึ้นในระบบ ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์คงไม่ใช่เป็นเรื่องที่ดีแน่ ๆ เพราะเมื่อปริมาณเงินมีมากขึ้นมูลค่าของเงินก็จะเริ่มตกต่ำลงเมื่อเวลาผ่านไป หรือที่เรียกว่าภาวะ “เงินเฟ้อ”
ปริมาณของทองคำจะขึ้นอยู่กับการขุดเจาะว่าจะสามารถค้นพบได้มากแค่ไหนและไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าทองคำที่อยู่บนโลกจะหมดลงไปเมื่อไหร่ จึงขอเรียกว่ามีอยู่อย่างจำกัดในระยะยาว เพราะในที่สุดแล้วทองคำอาจจะถูกขึ้นมาจนหมดโลกก็เป็นได้ ซึ่งมนุษย์ก็ได้มีการหาแผนสำรองไว้แล้วโดยองค์การ NASA ก็ได้เริ่มภารกิจศึกษาดาวเคราะห์น้อย “16 ไซคี” ซึ่งเป็นแหล่ง ทองคำ นิกเกิล และเหล็ก ที่คาดว่าจะมีมูลค่ามากกว่า 10 ล้านล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในขณะที่ปริมาณของบิตคอยน์ก็มีอยู่อย่างจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ และการขุดบิตคอยน์นั้นจะเป็นการใช้พลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานธรรมชาติในการประมวลผลเครื่องคอมพิวเตอร์ให้การแก้ไขสมการที่มีความซับซ้อนสูง ผู้ที่ทำได้สำเร็จก็จะได้รับบิตคอยน์จำนวนหนึ่งไป จำนวนบิตคอยน์ที่ถูกขุดออกมาได้แล้วในปัจจุบันจะอยู่ประมาณที่ 19 ล้านเหรียญ แต่มีเงื่อนไขว่าบิตคอยน์ชุดใหม่ที่ระบบปล่อยออกมาจะถูกหักลดลงไปครึ่งหนึ่งทุกครั้งเมื่อเวลาผ่านไป หรือที่เรียก Bitcoin Halving และกว่าบิตคอยน์จะถูกขุดออกมาครบคาดว่าจะใช้เวลาไปจนถึงปี ค.ศ. 2140 หรืออีก 120 ปีข้างหน้าเลยทีเดียว
2.การรักษามูลค่า
คุณอาจเคยได้ยินว่า “ถ้าทองรุ่ง บิตคอยน์จะร่วง” เพราะหลายปีที่ผ่านมานักลงทุนก็จับสังเกตได้ว่า สองคู่แข่งนี้มักวิ่งสวนทางกัน แต่แท้ที่จริงแล้วราคาของบิตคอยน์หรือทองคำต่างไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาของกันและกันตกต่ำหรือสูงขึ้นเลยแม้แต่น้อย ถ้าเรามาดูที่ประเภทของสินทรัพย์แล้ว ทองคำถูกจัดไว้ว่าเป็นสิ่งที่ปลอดภัยในการลงทุน มีสภาพคล่องที่สูง ความเสี่ยงต่ำ และสวนทางกับเงินเฟ้อ ส่วนบิตคอยน์ก็ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงผันผวนได้ง่ายและอ่อนไหวต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจหากเกิดเหตุความไม่มั่นคงทางการเมืองหรือเศรษฐกิจ ถ้านักลงทุนต้องการ “รักษามูลค่าของสินทรัพย์” มากกว่าการ “เก็งกำไร” การกระจายพอร์ตของนักลงทุนก็จะเริ่มขยายไปยังสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงต่ำ ความสามารถในการรักษามูลค่าอาจเป็นอีกหนึ่งความเหมือนที่แตกต่างระหว่างบิตคอยน์กับทองคำ
3.การถือครอง
อีกมุมของบิตคอยน์และทองคำสามารถใช้เป็นเครื่องแสดงสถานะทางการเงินได้ และสามารถเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนได้เช่นกัน แต่ด้วยลักษณะทางกายภาพของทองคำ ทำให้เราสามารถถือครองทองคำในเชิงของเครื่องประดับและทรัพย์สินรูปแบบต่าง ๆ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้นักลงทุนรุ่นใหม่ที่ต้องการจัดเก็บดูแลรักษาสินทรัพย์ด้วยตนเองมองว่าทำได้ยากมากขึ้นและอาจไม่ปลอดภัย จริงอยู่ที่เราสามารถเก็บทองคำไว้ในห้องนิรภัยหรือฝากไว้กับธนาคารที่มีความปลอดภัยสูง แต่มันยากกว่าการเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิตคอยน์ นักลงทุนบางกลุ่มจึงเลือกที่จะเก็บทองคำจำนวนพอประมาณไว้ที่บ้านในตู้นิรภัยส่วนตัวหรือที่ตู้เซฟในพื้นที่เพื่อให้เข้าถึงได้ทันที สามารถโอนให้แก่กันได้เร็วเพราะไม่มีข้อจำกัดทางกายภาพ ช่วยขจัดความจำเป็นในการทำธุรกรรมกับบุคคลที่สาม และยังเลือกการจัดเก็บได้ด้วยตัวเองในกระเป๋าเงินดิจิทัลได้ทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ ซึ่งนักลงทุนยังต้องใช้ความระมัดระวังในการจัดเก็บด้วยตนเองเช่นเดียวกันไม่ต่างจากทองคำ
4.ความปลอดภัย
การจะพิสูจน์ว่าสินทรัพย์ที่คุณถือครองอยู่เป็นของจริงหรือไม่? สำหรับทองคำ คงมีแต่ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นที่สามารถตรวจสอบได้ว่าทองคำแท่งนั้นเป็นของจริง แต่สำหรับการตรวจสอบบิตคอยน์นั้นทำได้เพียงไม่กี่คลิกบนอินเทอร์เน็ตโดยมีระบบบล็อกเชนคอยบันทึกธุรกรรมอยู่เบื้องหลัง สิ่งที่สำคัญของการรักษาสินทรัพย์ให้ปลอดภัย จะเป็นในเรื่องของการสร้างความปลอดภัยให้กับกระเป๋าเงินดิจิทัลมากกว่า
อ้างอิง: Bitkub Blog, Physicalgold, Beincrypto, NASA
บทความโดย Bitkub.com
คำเตือน:
- คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจํานวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
- ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีตหรือผลการดําเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทน ของสินทรัพย์ดิจิทัลหรือผลการดําเนินงานในอนาคต
- ข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่ข้อเสนอการลงทุนหรือการจัดการใด ๆ ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล เนื้อหาข้างต้นเป็นการวิเคราะห์แนวโน้มของราคาโดยใช้ข้อมูลในอดีตหรือเครื่องมือวิเคราะห์ อาจมีการคลาดเคลื่อนได้ นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจก่อนลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล
กราฟิก: ณัฐชนน พูนชัย (Boom)