efinancethai

บทบรรณาธิการ

โดย
พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน

: กองบรรณาธิการ
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

[email protected]

ลุ้นเลือกตั้งสหรัฐ ไทยได้-เสีย ยังไง

ลุ้นเลือกตั้งสหรัฐ ไทยได้-เสีย ยังไง

สัปดาห์หน้าแล้วที่เราจะได้ลุ้นผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. ระหว่าง 2 ผู้สมัคร “คามาลา แฮร์ริส” รองประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต และ “โดนัลด์ ทรัมป์” อดีตประธานาธิบดี คนที่ 45 จากพรรครีพับลิกัน ที่ยังคงขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดและสูสี


ล่าสุดผลสำรวจจาก FiveThirtyEight ทั่วประเทศ ณ วันที่ 31 ต.ค. แฮร์ริส นำทรัมป์ อยู่ที่ 47.9% ต่อ 46.8% เรียกว่าหายใจรดต้นคอกันเลยทีเดียว  โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า มีโอกาสที่ผลการเลือกตั้งในรัฐสมรภูมิบางรัฐ ผู้สมัครทั้งสองอาจมีคะแนนเชือนกันแบบฉิวเฉียดก็เป็นได้

 
แม้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าในที่สุดทรัมป์ น่าจะกลับมาเป็นประธานาธิบดีได้อีกสมัยก็ตาม และแน่นอนว่า  หากทรัมป์กลับมา หลายๆประเทศน่าจะหนาวๆ ร้อนๆ กับนโยบายของเขา โดยเฉพาะเรื่องของสงครามการค้าที่กระทบไปทั่วโลก 


สำหรับประเทศไทย แม้เราจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ส่งผลต่อเศรษฐกิจบ้านเราในช่วงนั้นไม่น้อย  ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ว่าใครจะชนะ ประเทศไทยก็คงต้องจับตามอง นโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ใกล้ชิด 


ขณะที่ศูนย์วิจัยเกียรตินาคิน (KKP) มองว่า การเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่ว่าใครจะชนะ ก็มีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะไม่เห็นการค้าโลก และกระแสโลกาภิวัตน์กลับไปเติบโตได้อีก เพราะทั้ง 2 พรรค ต่างมีแนวโน้มหันหลังให้กับการค้าเสรี และมีนโยบายที่กีดกันทางการค้า และการลงทุนกับประเทศอื่นทั้งคู่ ต่างกันเพียงแค่รายละเอียดและเครื่องมือที่ใช้เท่านั้น


โดยทรัมป์จะมุ่งเน้นไปที่การขึ้นภาษีนำเข้าต่อประเทศคู่ค้าในทุกสินค้า  ด้วยการจะขึ้นอัตราภาษีนำเข้า 60% ต่อสินค้าจากจีน และ 10% กับทุกสินค้าที่มาจากประเทศอื่นทั่วโลก ซึ่งจะเร่งให้การค้าโลกหดตัวเร็วกว่าที่คาดและส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะในด้านการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ


ส่วนแฮร์ริสอาจสานต่อนโยบายของไบเดน ก็คือการกีดกันการเข้าถึงเทคโนโลยีและใช้การขึ้นภาษีนำเข้าต่อสินค้าสำคัญในบางประเภทเท่านั้น


 เกียรตินาคิน ระบุว่า ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยจากการค้าของโลกที่กำลังเปลี่ยนไปเป็น Protectionism มากขึ้น กำลังก่อตัวขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญเปราะบางจากปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว เช่น หนี้ครัวเรือน สังคมสูงวัย ความสามารถในการแข่งขัน


ส่วนฟาก ดร.อมรเทพ จาวะลา จาก ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ CIMBT  ประเมินว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐวันที่ 5 พ.ย. นี้ กำลังจะส่งผลให้เกิดความผันผวนและความเปลี่ยนแปลง หากประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับการเลือกตั้งใหม่ เพราะหากรองประธานาธิบดีแฮร์ริสชนะ คงเห็นการเปลี่ยนแปลงไม่มาก เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่จะดำเนินนโยบายต่อเนื่องจากประธานาธิบดีไบเดน 


ดร. อมรเทพ ระบุว่า หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เศรษฐกิจไทยปี 2568 จะเต็มไปด้วยทั้งโอกาส และ ความท้าทาย


และ บล. กรุงศรี ที่เบื้องต้นคงมุมมองบวกต่อแนวโน้ม SET Index ซึ่งหลังเลือกตั้งน่าจะตอบรับช่วง Honeymoon Period รับผล US Election ไปก่อน อย่างไรก็ดีผู้ต้องการลดความเสี่ยงจากผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ล่วงหน้า แนะนำ BANK (KTB), UTILITIES (GPSC, GULF), TELCO(ADVANC), Consumer Staples (CPALL), Health(BDMS, CHG),IE (WHA)

 
ใครจะบอกเลือกตั้งสหรัฐฯ ไกลตัวไม่ได้อีกแล้ว เพราะโลกปัจจุบันเล็กนิดเดียว แถมนโยบายของว่าที่ผู้นำโลกคนใหม่ก็สำคัญเสียด้วย เพราะจะได้รู้ว่าปีหน้า เราจะซ้ายหัน ขวาหัน ได้ถูกทิศถูกทาง

 







บทความอื่นๆที่น่าสนใจ



RECOMMENDED NEWS

ข่าวหุ้นยอดนิยม

Refresh