ธรรมาภิบาลกับผู้บริหาร บจ.
เป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันทีทันควัน สำหรับ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC หลังจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดบริษัทฯ และผู้บริหารระดับสูง 2 คน กรณีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้สินบน หรือสนับสนุนในการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อแลกกับการอนุญาตให้เรือลำเลียงชิ้นส่วนอุปกรณ์ก่อสร้างโรงไฟฟ้าจากต่างประเทศเข้าเทียบท่าเรือชั่วคราว ในโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนอม เล่นเอาราคาหุ้น STECร่วงรับข่าวร้ายในเวลาอันรวดเร็ว
ทั้งที่จริงๆ แล้ว คดีดังกล่าวยังต้องใช้เวลาอีกมาก และเป็นเพียงขั้นตอนการชี้มูลความผิดอยู่ ในขณะที่ล่าสุดผู้บริหาร STEC ออกมาชี้แจงว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และสนับสนุนในการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐตามข่าว และย้ำว่าบริษัทฯ มีนโยบายดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล ไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องหรือสนับสนุนการทุจริตคอร์รัปชั่นในทุกรูปแบบ และมีมาตรการป้องกันปราบปรามการทุจริตภายในองค์กรอย่างเข้มงวดตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี และขอให้ผู้ลงทุนมั่นใจการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ และมั่นใจว่าสามารถชี้แจงแสดงหลักฐานโต้แย้งการถูกกล่าวหาข้างต้นได้ โดยจะต่อสู้จนถึงที่สุด
โดยเรื่องนี้ STEC ยืนยันชัดเจนว่าตราบใดที่คำพิพากษายังไม่สิ้นสุด ก็ยังมีสถานะเป็นผู้บริสุทธิ์ นั่นเท่ากับว่าการชี้มูลดังกล่าว ก็เป็นเรื่องของ ป.ป.ช. ในการดำเนินการตามขั้นตอนไป
แต่อย่างไรก็ดี ราคาหุ้น STEC ก็ตอบรับข่าวไปเรียบร้อย ก่อนจะปรับตัวขึ้นเมื่อมีคำชี้แจงของผู้บริหาร ทั้งนี้ทั้งนั้น เรืองดังกล่าวก็ชี้ให้เห็นได้ชัดเจนว่า เรื่องธรรมาภิบาลในปัจจุบันนี้ มีความสำคัญมากๆ ต่อบทบาทของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) และผู้บริหารบจ. เพราะเป็นเรื่องเซนซิทีฟ และกรณีนี้ก็น่าจะเป็นครั้งแรกที่ผู้บริหารระดับสูง บจ. ได้รับการชี้มูลความผิด แม่ว่าจะเป็นเพียงการสืบสวนความในขั้นต้นก็ตาม แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้กับการที่นักลงทุนจะแพนิกและขายหุ้นออกไป
ก่อนหน้านี้เราได้เห็นมาแล้วในหลายกรณีเกี่ยวกับเรื่องธรรมาภิบาล หรือ CG กับ บจ. เพราะนอกจากจะมีผลต่อภาพลักษณ์ ภาพพจน์ และราคาหุ้นแล้ว ยังมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนของบรรดานักลงทุนสถาบันอีกด้วย หากแสดงว่าบริษัทหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องมีปัญหา นักลงทุนสถาบัน หรือกองทุน ก็จะหลีกเลี่ยงลงทุนหุ้นดังกล่าว ซึ่งจะว่าไปแล้วปัจจุบันนี้ การให้ความสำคัญกับธรรมาภิบาล ในการบริหารบริษัทควบคู่กับการทำธุรกิจนั้น เป็นเรื่องที่ บจ. ในปัจจุบันให้ความสำคัญค่อนข้างมากอยู่แล้ว และควรจะต้องมากขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ เพราะการจะเป็นบริษัทจดทะเบียนที่ดี จำเป็นต้องมีความโปร่งใส่ในการเปิดเผยข้อมูล และบริหารบริษัทให้ผู้ถือหุ้นเชื่อมั่น และเชื่อถือ
กรณี STEC นั้น เชื่อว่าหากบริษัทยืนยันให้ความบริสุทธิ์ ตอบคำถามได้ ก็ไม่ใช่เรื่องน่าห่วง เพราะแม้ในระยะสั้นอาจะได้รับผลกระทบบ้างจากข่าว แต่ในระยะยาวแล้วยังเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างทีมีปัจจัยพื้นฐานรองรับ อย่าง บล.เอเซียพลัส ที่แม้จะระยะสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงลงทุน แต่ก็ให้ราคาเหมาะสมปี63 ที่ 25 บาท เพราะเชื่อว่าประเด็นดังกล่าวยังไม่กระทบต่อผลดำเนินงาน ที่ปัจจุบันมี Backlog สูงถึง 9 หมื่นล้านบาท เพียงพอรองรับรายได้ถึงปี 2565 และมีฐานะการเงินมั่นคงโดยมีเงินสดในมือบวกกับเงินลงทุน ณ สิ้น 2Q62 มากกว่า 1 หมื่นล้านบาท เพียงแต่ความไม่ชัดเจนจากคดีความดังกล่าวน่าจะกดดันราคาหุ้นไปอีกระยะ
ASP แนะนำให้นักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ หลีกเลี่ยงการลงทุนออกไปก่อน ส่วนนักลงทุนที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้ อาจหาจังหวะเข้าซื้อเก็งกำไร
ขณะที่ บล. ทรีนิตี้ แนะนำให้รอความชัดเจนประเด็นนี้เสียก่อนว่า ทางตลาดฯจะมีมติหรือความเห็นเป็นเช่นไร ซึ่งยังแนะนำให้ซื้อ และให้ราคาเป้าหมายปีนี้ที่ 23 บาท บนสมมติฐานการรับรู้รายได้เพิ่มจากโครงการงานก่อสร้างมอเตอร์เวย์ 2 สายใหม่ล่าสุดที่มาร์จิ้นไม่ดี แถมยังมี backlog ที่แข็งแรงมาก เมื่ออิง Avg P/E ของ 5 ปีเฉลี่ยย้อนหลัง = 25.7 เท่า ของกำไรสุทธิต่อหุ้น ณ ปี 2019
เอาเป็นว่าจิตวิทยามีผลต่อราคาหุ้น STEC ระยะสั้น กับข่าวที่ออกมาทางลบ เพราะเป็นข่าวที่เกี่ยวข้องกับ CG โดยตรง ซึ่งต้องรอการพิสูจน์ต่อไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในส่วนของหน่วยงานที่กำกับดูแล ทั้งก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์ ก็คงไม่นิ่งนอนใจกับการกำกับดูแล ให้บจ. และหน่วยงานที่อยู่ภายใต้การกำกับ เดินไปตามกฎเกณฑ์ธรรมภิบาล ที่กำหนดไว้ด้วยเหมือนกัน CG แม้ไม่ใช่ตัวบท กฎหมายที่บังคับใช้ แต่ก็เป็นเกณฑ์ที่ บจ. ควรรู้ว่าต้องมี และต้องคำนึงถึงอย่างไร