คาดนโยบายทรัมป์ 2.0 ... เขย่าเศรษฐกิจโลกไม่มีแผ่ว
ตอนเที่ยงวันที่ 20 ม.ค. นี้ ( เวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ ) ตรงกับค่ำคืนวันจันทร์ตามเวลาบ้านเรา พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ก็จะเริ่มขึ้น และไฮไลท์ที่สำคัญที่สุดในวันนั้นก็คือ ทรัมป์จะประกาศนโยบายอะไรที่สั่นสะเทือนเศรษฐกิจโลก เหมือนเมื่อ 8 ปีก่อนหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องสงครามการค้า หรือ Trade War ระหว่าง สหรัฐฯ - จีน ที่สร้างความเสียหายมหาศาลต่อเศรษฐกิจทั่วโลก
ขณะที่ บล.เอเซียพลัส ระบุว่าในบทวิเคราะห์ว่า ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าทรัมป์จะมีการประกาศนโยบายเร่งด่วน (EXCLUSIVE ORDER) อะไรออกมาบ้าง และนโยบายจะเป็นไปตามที่หาเสียงไว้มากน้อยเพียงใด ซึ่งปัจจัยที่สร้างความกังวลไม่น้อยให้กับนักลงทุน นอกจากเรื่อง Trade War ก็ยังมี Tech War อีก ซึ่งช่วงปี 2018 การตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก และเป็นปีที่กดดัน Fund Flow ไหลออกจากตลาดหุ้นไทย มากสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 2.89 แสนล้านบาท ขณะที่ Tech War อาจกดดันให้หุ้น TECH โลกและ MAG7 ผันผวนได้ เพราะมี P/E อยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ บทวิเคระห์ของเอเซียพลัส กล่าวว่า การกลับมาของทรัมป์ มีอะไรที่ Advantage / Disadvantage โดยกรณีที่มีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากต่างประเทศ 10% และจีน 60% ทาง IMF ประเมินว่าจะกดดัน GDP Growth ทั่วโลกราว 0.4% - 0.6% และได้คาดการณ์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจแต่ละทวีปในยุค TRUMP 2.0 ประกอบด้วย
สหรัฐฯ • ดุลทางการค้าของสหรัฐฯ มีแนวโน้มขาดดุลลดลง จากนโยบายกีดกันทางการค้า แต่อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้ออาจมีแนวโน้มสูงขึ้น หรือเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ช้าลง จากต้นทุนสินค้านำเข้าสูงขึ้น รวมถึงการจ้างแรงงานภายในประเทศมีต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงยาวนาน จนกระทบต่อผู้บริโภค และธุรกิจ รวมทั้ง GDP ในระยะข้างหน้าได้
ยุโรป • การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ อาจทำให้ยุโรปส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ลดลง และมองหาตลาดใหม่ทดแทนส่วนภาวะการเงินมีแนวโน้มตึงตัวขึ้น ท่ามกลางเศรษกิจที่เติบโตต่ำ และเงินเฟ้อสูงกว่ากรอบเป้าหมาย
เอเชีย • ทั้งนี้หลายประเทศในเอเชียมีแนวโน้มการพึ่งพาส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ สูงขึ้นเมื่อเทียบระหว่างปี 2018 และ 2023 เช่น เวียดนาม, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, อินเดีย, ไทย ฯลฯ ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะกระทบต่อภาคส่งออก
เพราะฉะนั้นนี่คือภาพกว้างๆ ของผลกระทบที่คาดว่าจะได้รับจากนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่ทั่วทั้งโลกต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เชื่อว่าไม่น่าจะแผ่วลงจากเมื่อปี 2018 และที่ต้องห่วงไม่น้อยไปกว่ากัน ก็คือ นโยบายทรัมป์ 2.0 จะกระทบตลาดสินทรัพย์เสี่ยง อย่างตลาดหุ้นมากแค่ไหน เงินทุนที่คาดว่าจะไหลออก หากทรัมป์ยังคงประกาศนโยบายที่แข็งกร้าวของเขาต่อไปอีกสมัยหวั่นใจนักลงทุนไม่น้อย ซึ่งก็เห็นภาพค่อนข้างชัดเจนสะท้อนจาก SET Index ตั้งแต่เปิดปีใหม่มา
ดังนั้นเช้าวันอังคาร (ตามเวลาประเทศไทย) ก็น่าจะรู้กันแล้วว่าโลกจะต้องเตรียมรับมือกับ "โดนัลด์ ทรัมป์" อย่างไร หนักหรือเบาแค่ไหน