หุ้นไทย ลงไม่หยุด-ฉุดไม่อยู่
SET Index ไทยลงต่อไม่มีพักจริงๆ โดยเฉพาะสัปดาห์ที่กำลังจะผ่านพ้นไปนี้ (3-7 ก.พ.) เรียกได้ว่าตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะที่เปราะบางเหลือเกิน ในขณะที่นักลงทุนก็ใจบางไม่แพ้กัน ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดีกับภาวะตลาดแบบนี้ ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานี้ ตลาดหุ้นบ้านเรายังคงลงหนักเป็นอันดับ 1 ของโลก -9.87%
โดยที่มาจาก Bloomberg ระบุว่า หุ้นไทยลดลงทิ้งห่างอันดับ 2 อย่างตลาดหุ้นคูเวต -5.25% และลงแรงกว่าภาพรวมตลาดหุ้นโลก (MSCI ACWI INDEX) อย่างมาก +4%
ส่วน สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส (ณ 1 ม.ค. –6 ก.พ. 67) บอกว่า ความเปราะบางของตลาดหุ้นไทยส่วนหนึ่งเกิดจากมูลค่าซื้อขายที่หล่อเลี้ยงตลาดลดน้อยลง ปี 68 นี้ เหลือ 3.9 หมื่นล้านบาทต่อวัน (ปี 67 4.49 หมื่นล้านบาทต่อวัน , ปี 66 5.07 หมื่นล้านบาทต่อวัน, ปี 65 7.01 หมื่นล้านบาทต่อวัน) ส่งผลให้เวลาถูกปัจจัยต่างๆ มากระทบก็กดดันให้หุ้นลงลึกกว่าปกติ
อย่าง SET Index เมื่อวันที่ 6 ก.พ. ที่ผ่านมา ลดลงกว่า 24 จุด หลุดไปอยู่ที่ 1,262 จุด ต่ำสุดในรอบ 4 ปี สะท้อนให้เห็นอย่าชัดเจนว่า ตลาดทุนไทยที่ถือเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศ กำลังจะอ่อนแรงลงเรื่อยๆ และต่อให้ตลาดหลักทรัพย์จะพยายามผลักดันหลากหลายนโยบาย ตลอดจนหลากหลายผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อดึงดูดนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศมากมายแค่ไหน ก็ไม่ได้ช่วยให้การขายหุ้นลดลงแต่อย่างใด
แม้จะมีช่วงหนึ่งตอนต้นไตรมาส 4 ของปี 67 ที่ผ่านมาดูเหมือนจะเริ่มเห็นสัญญาณดีของตลาดฯ ที่ SET Index พุ่งขึ้นเกือบแตะ 1,500 จุด จากแรงซื้อของกองทุนวายุภักษ์ แต่หลังจากนั้นตลาดก็ขาดแรงดึงดูดอีกต่อไป หุ้นมีแต่ปักหัวลงต่อเนื่องจนมาถึงปีนี้
จะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นไทย ขาดเสน่ห์ที่จะทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุน และที่สำคัญกว่านั้นคือระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลงต่อเนื่อง ผ่านมูลค่าการซื้อขายที่ลดต่ำลง บางช่วงมูลค่าการซื้อขายต่ำกว่าระดับ 3 หมื่นล้านบาท เกิดอะไรขึ้นกับหุ้นไทย ต่อให้ปัจจัยต่างๆ จะเข้ามากระทบไม่หยุด ทั้งความกังวล Trade War - แรงขายหุ้น DELTA ที่ส่งผลต่อ Index แต่เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ที่ไม่ได้ลงมากมายเหมือนเรา นั่นจึงเกิดคำถามว่าตอนนี้ พื้นฐานของประเทศ ความน่าลงทุนของประเทศไทย สู้ที่อื่นไม่ได้แล้วใช่หรือไม่
เท่านั้นยังไม่พอ ยังพบว่าตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน มีแรงขายจากกองทุน LTF ออกมาประมาณ 18,000 ล้านบาท ซ้ำเติมตลาดหุ้นเข้าไปอีก แถมยังมีเม็ดเงินส่วนที่เหลืออีกประมาณ 200,000 ล้านบาท
ซึ่ง ชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) และในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ก็ยอมรับว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยที่ลดลงอย่างหนักตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นผลจากแรงเทขายกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ครบกำหนดพร้อมขายในปีนี้ แต่ก็ยังมองในมุมดีว่า ช่วงเดือน ก.พ. ที่ผ่านมาจะเริ่มเห็นแรงขายเบาบางลงเมื่อเทียบกับเดือนม.ค.
เพราะฉะนั้นหลากหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนนี้จึงล้วนแต่เข้ามาถล่ม SET Index โดยพร้อมเพรียงกัน ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องหรือยัง ที่จะช่วยกันหันมาใส่ใจอย่างจริงๆ จัง ว่าจะเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนสู่ตลาดทุนไทยได้อย่างไร ถ้าจะมองว่านี่คือหนึ่งในแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
นี่แค่ต้นปียังถือว่าทัน หากรัฐบาล ตลาดฯ ก.ล.ต. จะผนึกกำลังกันหามาตรการ ฟื้นความมั่นใจและดึงเม็ดเงินกลับคืนมาอีกครั้ง ก็เชื่อว่ายังไม่สายเกินไปที่ตลาดหุ้นไทยจะกลับมาได้ ส่วนจะกลับมาได้แค่ไหนนั้น มองใกล้ๆ กลับไปแตะ 1,300 จุดอีกครั้งก็แจ๋วแล้ว